2,840 

ภายในปี 2048 จะไม่มีพื้นที่ใดปลูกต้นโกโก้ได้อีก เรื่องน่าเศร้าของคนรักช็อกโกแลตที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า เพราะนั่นหมายความว่าคุณจะไม่ได้กินช็อกโกแลตอีกต่อไป หรือต่อให้คุณหากินได้ ช็อกโกแลตก็อาจจจะกลายเป็นของหายาก และราคาแพงจนเกินเอื้อม 

เพราะโลกร้อน.. จึงปลูกต้นโกโก้ไม่ขึ้น 

ตัวแปรสำคัญของเรื่องนี้ก็คือ ‘ปัญหาภาวะโลกร้อน’ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ช็อกโกแลตนั้นสกัดมาจากต้นโกโก้.. การไม่มีต้นโกโก้ จึงเท่ากับไม่มีช็อกโกแลต และการที่โลกร้อนขึ้นได้ส่งผลต่อความอยู่รอดของต้นโกโก้โดยตรง 

เนื่องจากโดยธรรมชาติ ต้นโกโก้จะอาศัยอยู่บริเวณ 20 องศาเหนือหรือใต้เส้นศูนย์สูตรเท่านั้น เป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในเขตที่มีสภาพภูมิอากาศร้อนชื้น หรือมีฝนตกชุกมากกว่า 2,000 มิลลิเมตรต่อปี อีกทั้งต้นโกโก้ยังต้องการดินที่มีปริมาณธาตุไนโตรเจนมากพอ และยังต้องการร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่ถึงจะให้ผลผลิตได้ดี

โดยผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่มีต่อต้นโกโก้ ไม่ใช่แค่ตัวเลขของอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นเท่านั้น แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ ‘ความชื้นในดินที่ลดลง’ ยิ่งความชื้นน้อยลงเท่าไหร่ ใบของต้นโกโก้ก็จะยิ่งเหี่ยวเร็วมากขึ้นเท่านั้น และผลผลิตก็จะยิ่งลดน้อยตามลงไปด้วย 

ผลกระทบที่ลุกลาม

และเรื่องที่น่าเศร้ายิ่งกว่าก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อผลกระทบจากการปลูกต้นโกโก้ไม่ขึ้นเพราะภาวะโลกร้อน ได้เริ่มนำไปสู่การบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนในที่สุด เนื่องจากสภาพภูมิอากาศในพื้นที่ปลูกเดิมไม่เหมาะสมอีกต่อไป เห็นได้ชัดจากกรณีของประเทศโกตดิวัวร์ (Côte d’Ivoire) ประเทศในแถบแอฟริกาตะวันตกที่เกษตรกรส่วนใหญ่เลี้ยงชีพด้วยการเพาะปลูกต้นโกโก้ และผลิตผลโกโก้สูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก

ซึ่งนับตั้งแต่ปี 1960 เป็นต้นมา ป่าฝนของประเทศโกตดิวัวร์ลดลงกว่าเดิมถึง 80 เปอร์เซ็นต์ และยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง นับเป็นอัตราการสูญเสียที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จากที่เคยอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์และสัตว์ป่าน้อยใหญ่มากมาย ก็กลับหดหายไปเป็นจำนวนมาก รวมถึงปุ๋ยเคมีและสารกำจัดพืชจากการเกษตรกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำ จนเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและผู้คนในชุมชน 

ที่สำคัญคือเมื่อป่าฝนเขตร้อนที่เปรียบเสมือนปอดของโลกถูกทำลายลง จึงเท่ากับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศมากขึ้น โลกก็ยิ่งร้อนมากขึ้นตามไปด้วย นั่นหมายความว่าหากทุกคนเลือกแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ในที่สุดก็จะไม่มีพื้นที่ใดบนโลกที่สามารถปลูกต้นโกโก้ได้อีกนั่นเอง 

อย่างไรก็ตามแหล่งปลูกที่ขึ้นชื่อว่าผลิตผลโกโก้ได้มากที่สุดกว่าครึ่งตลาดของโลก อย่างประเทศโกตดิวัวร์ และประเทศกานา (Ghana) ที่ผลิตผลโกโก้ได้ถึงปีละ 2,918,000 ตัน ก็ถูกคาดการณ์ว่าในปี 2040 ผลผลิตจะลดลงถึง 60 เปอร์เซ็นต์

และแม้เกษตรกรในประเทศไทยจะเริ่มหันมาปลูกต้นโกโก้กันมากขึ้น แต่กำลังการผลิต 

เมล็ดโกโก้แห้งในประเทศไทยยังมีอยู่เพียง 125 ตัน เท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอต่อการบริโภค ทั้งการนำมาแปรรูปเป็นอาหาร ขนมหวาน ยาใช้ภายนอก และเครื่องสำอาง จึงทำให้ต้องนำเข้าจากต่างประเทศอยู่อีก 60,000-80,000 ตันต่อปี 

ดังนั้นต่อให้เราผลิตโกโก้ภายในประเทศ ควบคู่ไปกับการนำเข้าจากต่างประเทศ แต่เราทุกคนบนโลกก็หลีกหนีปัญหาภาวะโลกร้อนที่กำลังคุกคามและขยายตัวอย่างต่อเนื่องนี้ไปไม่พ้นอยู่ดี  

ทางออกเดียวที่จะช่วยชะลอการขาดแคลนช็อกโกแลตที่คุณรักให้ยืดระยะออกไปได้ ก็คือการลุกขึ้นมา ‘เปลี่ยน’ พฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อช่วยกันลดโลกร้อน โดยเริ่มจากสิ่งใกล้ตัว เช่น การเปลี่ยนมาเลือกบริโภคช็อกโกแลตออร์แกนิก (Organic)เพราะนอกจากคุณจะได้ช่วยสนับสนุนเกษตรกรไม่ให้ใช้สารเคมีในการเพาะปลูก ที่เป็นการทำลายธรรมชาติแล้ว ยังเท่ากับคุณได้ช่วยผลักดันให้ผู้ผลิตหันมาให้ความสำคัญกับการคัดสรรวัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ให้เกิดการร่วมมือกันระหว่างผู้ผลิตกับเกษตรกรในการอนุรักษ์ธรรมชาติ 

นอกจากนี้การเลือกบริโภคช็อกโกแลตที่ใช้บรรจุภัณฑ์แบบรักษ์โลก (Eco Packaging) หรือบรรจุภัณฑ์แบบย่อยสลายได้ (Biodegradable Packaging) รวมไปถึงการคัดแยกขยะและทิ้งให้ถูกถังหลังจากบริโภค ก็ถือเป็นการช่วยลดโลกร้อนได้มาก เพื่อให้ขยะบางส่วนได้ถูกนำไปรีไซเคิล (Recycle) อย่างคุ้มค่า ลดกระบวนการฝังกลบ และยังช่วยลดการผลาญทรัพยากรธรรมชาติโดยไม่จำเป็น

ที่สำคัญคือการช่วยกันปลูกฝังค่านิยม ‘เปลี่ยน’เหล่านี้ ให้กับลูกหลาน ที่อาจจะรักในช็อกโกแลตเหมือนกันกับคุณ ให้พวกเขาได้ช่วยกันลดโลกร้อนผ่านสิ่งที่รัก และสามารถต่อยอดพฤติกรรมเหล่านี้จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันได้อย่างยั่งยืน 

ไม่แน่ว่าจากปี 2048 อาจเลื่อนไปอีกหลายสิบปี หรืออีกหลายร้อยปีก็เป็นได้ 

เปลี่ยน.. เพื่อ ‘ช็อกโกแลต’ ที่คุณแคร์ 

ตามไปดูข้อมูลสนุก ๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่! จุดจบสายหวาน อีกไม่นานอาจไม่มีช็อกโกแลต