จุดเปลี่ยนขององค์กรเก่าแก่สู่การเป็นองค์กรที่ทันสมัย ด้วยนวัตกรรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) ทุกย่างก้าวยืนอยู่บนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา SCG ทุ่มพัฒนาหัวใจด้าน Innovation โดยเฉพาะ 2 องค์ประกอบหลัก นั่นคือ ทรัพยากรบุคคลและงบประมาณ มีการปรับโครงสร้าง และเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงาน เปิดมุมมองที่กว้างใหญ่ออกไป รับความท้าทายใหม่ๆ ตลอดเวลา
แม้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับบริษัทที่มีอายุเกิน 100 ปี แต่ปัจจัยทั้งหมดนี้กลับเกิดขึ้นได้จริง ภายใต้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ของผู้บริหารในการวางยุทธศาสตร์
Technology Road Map คือ เข็มทิศขององค์กร มุ่งสู่ความยั่งยืน ทั้งในเชิงของธุรกิจและเพื่อคุณภาพชีวิต
ที่ดีกว่า โดยมีเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักในการขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ด้วยเสมอ ต้องมีทั้งความรู้คู่คุณธรรม ไม่ว่าจะเผชิญกับความท้าทายเพียงใด
สร้างความพร้อมรองรับเทคโนโลยีใหม่
ดร.วิไลพร เจตนจันทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานเทคโนโลยี SCG (CTECH) กล่าวว่า ตลอดทศวรรษที่ผ่านมาการขับเคลื่อนงานนวัตกรรมขององค์กรได้รับการสนับสนุนอย่างดี ทั้งเรื่องงบประมาณและบุคลากร จากผู้บริหารระดับสูง ผลักดัน Vision มาสู่ความร่วมมืออย่างจริงจัง และการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรมาจนถึงทุกวันนี้
“วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร SCG เห็นความสำคัญของการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ตลาดโลก มีการตั้งสำนักงานเทคโนโลยีขึ้น เพื่อให้มีบทบาทสำคัญในการวิจัยและพัฒนาสินค้า ภายใต้แนวคิดใหม่ๆ ร่วมกับหน่วยธุรกิจ (Business Unit หรือ BU) จากเดิมที่ทุกฝ่ายต่างมีทีมงานวิจัยและพัฒนาของตัวเอง แต่เมื่อมีความตั้งใจเหมือนกันสุดท้ายก็สามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างมีพลัง”
สิ่งที่สะท้อนว่า เอสซีจีให้ความสำคัญกับนวัตกรรม คือตัวเลขงบประมาณสนับสนุนการวิจัย ที่เพิ่มสูงขึ้นมาตลอด นับจากปี 2547 ที่มีวงเงินเพียง 40 ล้านบาท มาเป็น 1,000 ล้านบาทในปี 2554 ล่าสุดในปี 2559 ได้รับจัดสรรด้วยวงเงินสูงถึง 4,360 ล้านบาท คิดเป็น 1% ของยอดขายของเอสซีจี
บุคลากรในสายงานวิจัยและพัฒนา รวมถึงงานทรัพย์สินทางปัญญา ก็ขยายตัวเช่นเดียวกัน จากปี 2547 มีจำนวน 364 คน มาเป็น1,823 คนในปี 2559 และในจำนวนนี้เป็นบุคลากรที่จบปริญญาเอก 108 คน
ศึกษาความเป็นไปได้ ไม่มองโลกแง่ดีเกินไป
“เงิน” พร้อม “คน” พร้อม แต่ไม่ได้หมายความว่านวัตกรรมของเอสซีจีจะขายได้ ดังนั้นปรัชญาสำคัญไม่ใช่เพียงใช้องค์ความรู้ขับเคลื่อนเทคโนโลยี แต่ยังต้องทำงานเป็นทีม เอสซีจีได้นำระบบ Cross Technology Development มาเชื่อมโยงทุกมุมมอง ความคิดเห็นของฝ่ายวิจัยและพัฒนา ร่วมกับหน่วยธุรกิจที่ใกล้ชิดกับความต้องการของลูกค้า ระดมสมองต่อยอดทาง ‘ความคิด’ เกิดผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ
รวมทั้งมีการศึกษาความเป็นไปได้ (Basic Feasibility Study) ทางธุรกิจอย่างรอบคอบ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับบริษัท เพราะแม้จะเป็นนวัตกรรมที่ดี หากไม่มีศักยภาพทางการตลาด โอกาสเกิดคงยาก
ประเด็นสำคัญที่เอสซีจีใส่ใจลำดับแรก คือ ผลิตภัณฑ์ใหม่นั้นสามารถตอบโจทย์ปัญหาระดับโลกหรือไม่ เทรนด์ผู้บริโภคเป็นอย่างไร เพราะลำพังตลาดในประเทศไทย 60 ล้านคน ค่อนข้างจำกัด หากขยายไปยังภูมิภาคอาเซียน ที่มีถึง 600 ล้านคน ก็นับเป็นตลาดที่ใหญ่กว่า แต่ถ้าขยับออกไปขายถึงตลาดโลกได้ด้วย ก็ยิ่งคุ้มค่าต่อการลงทุน
ประการถัดมาต้องพิจารณาว่า เอสซีจีมีศักยภาพในการพัฒนาหรือไม่ ทั้งเรื่องของบุคลากร ความรู้ เทคโนโลยี การตลาด การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และการเงิน ซึ่งทั้งหมด CTECH ไม่สามารถดำเนินการเพียงหน่วยงานเดียวได้ ต้องผนึกกำลังร่วมกับฝ่ายต่างๆ ตั้งแต่ ‘วันแรก’
หากมองอย่างรอบด้านแล้ว นวัตกรรมที่คิดขึ้นสามารถตอบโจทย์ให้เอสซีจีก้าวเป็นผู้นำทางธุรกิจ ตอบสนองทางการตลาดได้เกิน 80% ก็ถือว่าเหมาะสมที่จะลงทุนทันที
“เราต้องประเมินตัวเอง เพื่อทำให้เกิดความเสี่ยงน้อยที่สุด ทั้ง Market Risk, Technology Risk, IP (Intellectual Property) Risk และ Financial Risk และไม่พยายามมองปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ในแง่ดีจนเกินไป สิ่งเหล่านี้จะเป็นภูมิคุ้มกันให้ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาประสบความสำเร็จตามที่คาดคิดเอาไว้”
เชื่อมโยงความคิด หาพันธมิตรร่วมงานนวัตกรรมใหม่ๆ ในนามเอสซีจีได้ทยอยออกสู่สายตาผู้บริโภค ตอบโจทย์ และโดดเด่น อาทิ อิฐก่อผนังจากเถ้าลอย (EcoBrick) ซึ่งนำของเสียจากอุตสาหกรรมการผลิตมาแปรรูป ช่วยดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม รวมถึงปูนปลาสเตอร์หล่อฟันสำเร็จรูปสูตรยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อโรค (Antimicrobial Dental Plaster) ซึ่งพัฒนาคุณสมบัติปูนปลาสเตอร์ที่ใช้ในงานก่อสร้างมาสู่งานทันตกรรม เกิดมูลค่าเพิ่ม ทดแทนการนำเข้า และตอบสนองความต้องการของตลาดโลก
พี่วิไลพรเล่าว่า กระบวนการพัฒนานวัตกรรมของเอสซีจีเปิดกว้างทางความคิด ถ้าเรื่องใดไม่มีความเชี่ยวชาญจะสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทันที ทั้งมหาวิทยาลัย องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา 1 ใน 3 ของงบประมาณด้านวิจัยและพัฒนาเป็นการทำโครงการร่วมกับองค์กรภายนอก
“การสร้างความร่วมมือนี้ทำให้กระบวนการรวดเร็วขึ้นมาก ยกตัวอย่างถ้าต้องทำวิจัย Dental Plaster เองทุกอย่าง เอสซีจีอาจใช้เวลาถึง 5 ปี แต่การร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งมีความรู้ด้านทันตกรรม และบริษัท DKSH ที่ชำนาญตลาดสินค้าสุขภาพ เราใช้เวลาเพียงปีครึ่งก็สำเร็จแล้ว โดยไม่ต้องลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงมากเกินความจำเป็น ทั้งในเรื่องบุคลากร หรือการลงทุนสร้างโรงงานเพื่อผลิตอีกนับร้อยล้านบาท”
ประเมินผลลัพธ์ เรียนรู้จากความผิดพลาด
กุญแจดอกสำคัญของเอสซีจีเมื่อลงทุนไปแล้วต้องมีการประเมินผล เพื่อทบทวนบทเรียนที่เอสซีจีได้พัฒนาขึ้นมา แน่นอนว่า บางโครงการมีเสียงตอบรับที่ดีมาก แต่บางโครงการก็ไปไม่ถึงจุดหมาย นำมาสู่การปรับปรุงกระบวนการทำงานที่รัดกุมมากยิ่งขึ้น
มีระบบ INNOTRAC เพื่อรวบรวมข้อมูลทุกด้านของโครงการนวัตกรรมนับพันโครงการตลอดช่วง 5 ปี ที่ผ่านมาจึงอยู่ในการบันทึกทั้งหมด ครอบคลุมทั้งวัตถุประสงค์ งบประมาณที่ใช้ รายได้ที่เกิดขึ้น สามารถนำมาวิเคราะห์ Portfolio และ Innovation Performance พิจารณาศักยภาพและผลตอบแทนทั้งระยะสั้นและระยะยาวได้อย่างชัดเจน
“ระบบนี้มีความสำคัญ จะบอกว่ากระบวนการทำงานนวัตกรรมของเราในอดีตเป็นอย่างไร จุดไหนควรดูแล ปรับปรุง สามารถวิเคราะห์ภาพรวมของทุกโครงการที่เกิดขึ้น เพื่อก่อให้เกิดความสมดุลตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่ต้องมองความเป็นไปได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว”
นอกจากนั้น ยังมีการเปิด Open Innovation Center ศูนย์กลางแสดงนวัตกรรมของเอสซีจี ที่ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค ความเป็นผู้นำธุรกิจ ทั้งเรื่องวัสดุก่อสร้าง เทคโนโลยีการผลิต ไลฟ์สไตล์ของโลกยุคใหม่ ความใส่ใจสิ่งแวดล้อม พร้อมเปิดพื้นที่ให้กลุ่มนักวิจัย นักศึกษา และนักลงทุนจากต่างประเทศเยี่ยมชมและนำไปต่อยอด
“Open Innovation Center มีความสำคัญมาก แสดงศักยภาพให้เห็นว่าเอสซีจีซึ่งเป็นบริษัทของคนไทย แต่เป็นผู้นำนวัตกรรมได้ ไม่ใช่แค่ในประเทศ แต่ได้รับความสนใจไปถึงระดับอาเซียน และระดับโลก ช่วยเพิ่มเครือข่ายคู่ค้าทางธุรกิจ ความร่วมมือกับนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยต่างๆ และสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่”
ลงทุนพอประมาณอย่างมีเหตุผล สร้างภูมิคุ้มกันองค์กร
สำหรับแนวโน้มของโลกยุคใหม่ เมื่อมองไปข้างหน้ามี 3 เรื่องหลักที่ถือเป็นทิศทางการบริโภคในอนาคต นั่นก็คือ สุขภาพและคุณภาพชีวิต (Health and Wellbeing) เทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Technology) และธุรกิจออนไลน์ (Mobile Online) ที่ทีมวิจัยและพัฒนาของเอสซีจีต้องตอบโจทย์ให้ได้ เพื่อสร้างโอกาสไปพร้อมๆ กับการเป็นภูมิคุ้มกันทางธุรกิจ
โดยมีเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักในการขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ด้วยเสมอ ต้องมีทั้งความรู้คู่คุณธรรม ไม่ว่าจะเผชิญกับความท้าทายเพียงใด เอสซีจีจะไม่ดำเนินธุรกิจที่ผิดต่อจริยธรรม จรรยาบรรณ และต้องมีความเป็นธรรมให้กับลูกค้าเสมอ
ปิดความเสี่ยงด้วยการจดสิทธิบัตร
การจดสิทธิบัตร (Patent) เพื่อคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับงานนวัตกรรม โดยทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์จะทำการศึกษาอย่างรอบคอบเพื่อปิดความเสี่ยงทั้งหมด
ภายใต้ระบบบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property: IP) ที่ผสมผสานกับกระบวนการสร้างนวัตกรรมตั้งแต่ต้น เพื่อวิเคราะห์เทคโนโลยี คู่แข่ง หาพันธมิตรไปพร้อมกับโอกาสทางธุรกิจ
ก่อนจะมีการวางกลยุทธ์เพื่อสร้างและคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจ ครอบคลุมการจดสิทธิบัตร การจัดเก็บความลับทางการค้า รวมถึงการนำมาใช้สร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ เช่น การนำไป License Out เพราะนวัตกรรมของเอสซีจีไม่ได้มุ่งแค่ผลิตและขายผลิตภัณฑ์อย่างเดียว แต่ยังมีแนวทาง ถ่ายทอดองค์ความรู้ในการค้นคว้าวิจัยให้แก่นักลงทุนที่สนใจ ผ่าน License Technology
วันนี้ กระบวนการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรมจึงไม่ได้อยู่แค่แผ่นกระดาษและทิ้งไว้บนหิ้งเท่านั้น
ที่ผ่านมา นอกจากเอสซีจีจะสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ออกจำหน่ายเองได้แล้ว ยังมี License Technology หลายโครงการให้กับนักลงทุนต่างประเทศ ทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น อาทิ Emisspro (SCG Chemicals) Green: G Technology (SCG Packaging)
จากปัจจัยทั้งหมดนี้เอง มาจากการขับเคลื่อนงานนวัตกรรมที่ผ่านกระบวนการคิดค้น สร้างสรรค์ วิจัย พัฒนา รวมถึงประเมินความเป็นไปได้ทางธุรกิจ ในทุกมิติ ด้วยความรอบรู้ รอบคอบ ยึดมั่นในอุดมการณ์ ผ่านการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย เพื่อให้เกิดความสมดุลและยั่งยืน นำมาซึ่งความสำเร็จที่ยั่งยืน