ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับองค์กรเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 100 ปี จะตั้งเป้าการเติบโตบนเส้นทางขององค์กรนวัตกรรม โดยเฉพาะองค์กรที่มีสินค้า Commodity เป็นหลัก แต่กลับเกิดขึ้นได้จริงภายใต้ยุทธศาสตร์ที่วางไว้
นวัตกรรม เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับองค์กร เพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ในอนาคต และยั่งยืนกว่ากลยุทธ์การลดต้นทุน
ในปี 2549 ทันทีที่พี่กานต์ ตระกูลฮุนขึ้นมารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ก็ได้ประกาศวิสัยทัศน์ว่า เอสซีจีต้องเป็นองค์กรนวัตกรรม เป็นความเห็นร่วมกันของคนทั้งองค์กรที่ต้องการทะยานไปข้างหน้า ด้วยการพัฒนาสินค้าและบริการให้เหนือกว่าคู่แข่ง ก้าวเป็นผู้นำธุรกิจระดับภูมิภาคอาเซียน และตอบโจทย์ตลาดโลก
อีกนัยหนึ่งที่สำคัญคือ เพื่อเตือนให้พนักงานไม่ประมาท ไม่หลงระเริงกับความสำเร็จที่เกิดขึ้น และกระตุ้นให้พนักงานออกมาจาก Comfort Zone เปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อเป้าหมายที่วางไว้ร่วมกันข้างหน้า
ไม่ใช่แค่ Product แต่คือ Process ด้วย
คำว่า “นวัตกรรม” ของเอสซีจี หมายถึง การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ซึ่งครอบคลุมสินค้าและบริการ (Product & Service) กระบวนการทำงาน (Process) รูปแบบธุรกิจ (Business Model) ตลอดจนพัฒนาเทคโนโลยีขององค์กร
พร้อมๆ กับการก้าวสู่องค์กรนวัตกรรม บริษัทก็ได้ตั้งงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนา (Research & Development หรือ R&D) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันประมาณ 1% ของยอดขาย หรือปีละ 4-5 พันล้านบาท เป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นบริษัทที่ใช้งบด้านนี้สูงมากบริษัทหนึ่งในอาเซียน
ยิ่งลงทุน R&D มากเอสซีจีก็ยิ่งมีองค์ความรู้ที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้นทุกที
พี่กานต์มีความเห็นว่า งบ R&D จำนวนนี้ต่อปี ถ้าเทียบกับบริษัทเดียวในอเมริกาใช้ Effectiveness ที่ได้จะต่างกัน ต้นทุนบ้านเราถูกกว่า ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างแรงงาน อัตราค่าจ้างนักวิจัย ถ้าเราบริหารและใช้ได้ดี ตรงนี้จะเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนความสำเร็จของเอสซีจี ไม่เพียงแต่จะได้สินค้าใหม่ๆ แต่จะได้สิ่งใหม่ๆ ของกระบวนการผลิตด้วย เพราะส่วนใหญ่เอสซีจีขายสินค้า B2B มากกว่า B2C และ B2B ก็จำเป็นต้องมี Process Innovation เพื่อจะได้ไปช่วยธุรกิจของคู่ค้าให้แข็งแรงขึ้นด้วย
พี่กานต์กล่าวว่า บางครั้งยังมีความเข้าใจว่าเอสซีจีใช้งบ R&D สูง มีสินค้าออกมาเป็นจำนวนมากแต่สินค้าส่วนหนึ่งขายไม่ได้ ถูกวางอยู่บนหิ้ง ซึ่งคำนี้น่ากลัวที่สุดเพราะหมายถึงเป็นองค์ความรู้เฉยๆ ไม่สามารถเอามาเปลี่ยนเป็นสินค้าและบริการได้ แต่ความเป็นจริงก็คือยอดขายสินค้า HVA (High Value Added Products & Services) เพิ่มสูงขึ้นทุกปี
ที่สำคัญสินค้าหลายตัวที่จะออกมาในอนาคตเป็นสินค้าที่เรียกได้ว่าเป็น New to the World ไม่ใช่แค่ New to SCG เท่านั้น
“บางคนอาจมองว่า R&D ทำให้มีสินค้าใหม่ๆ อย่างเดียว จริงๆ แล้วไม่ใช่ ที่ผ่านมาเราใช้เงินสำหรับ New Product ไม่เกิน 50% เงินส่วนที่เหลือจะไปใช้ในเรื่องของ Process Innovation ที่มีผลเรื่องการลดค่าใช้จ่ายในขั้นตอนต่างๆ ช่วยลดพลังงาน การทำสินค้าให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และที่มากกว่านั้นคือสามารถนำของเสียมารีไซเคิลได้พิ่มขึ้นทุกปี ตรงนี้คือกุญแจของความสำเร็จที่แข็งแรงของเรา”
ต้องเร็วและตอบโจทย์
พี่รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ให้ความเห็นว่าปัจจุบันสินค้าของเอสซีจียังต้องแข่งกับบริษัทอื่นๆ ดังนั้น R&D จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญใน 2 กระบวนการคือ
1. ต้องเข้าใจว่าลูกค้าต้องการสินค้าแบบเรียลไทม์ ต้องการใช้ตอนนี้หรือเร็วๆ นี้ เพราะหลังจากนี้เทรนด์ อาจจะเปลี่ยนไป ซึ่งก็สามารถทำได้จากการบริหารจัดการจากข้อมูลที่เอสซีจีมีอยู่มหาศาล ดึงมาปรับเปลี่ยนเป็นสินค้าหรือบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าจริงๆ ต้องเร็วขึ้น และกลุ่มคนที่ต้องเข้ามาให้ความสำคัญในเรื่องนวัตกรรมเพิ่มขึ้นอย่างมากคือฝ่ายการตลาดและฝ่ายขายที่มีอยู่ประมาณ 5 พันคน โดยต้องเข้ามาทำงานประสานกับพนักงานด้าน R&D ด้วย
2. องค์กรต้อง Speed เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงเร็ว ทุกอย่างอยู่บนสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอน ดังนั้นบริษัทต้องมีกระบวนการในการตัดสินใจให้เร็วขึ้น ไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจแบบรวมศูนย์อย่างเดียว
“องค์กรยิ่งใหญ่ยิ่งจำเป็นต้องใช้วิธีการทำงานแบบองค์กรเล็กที่มีความกะทัดรัด ต้องมี Speed with Quality and Safety เพราะองค์กรจะขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ต้องมีความรวดเร็วในการทำงาน สินค้าใหม่ที่จะออกต้องมีคุณสมบัติ จำนวน ปริมาณที่ต้องทันกับความคาดหวังของตลาด”
พี่รุ่งโรจน์ยังกล่าวอีกว่า กระบวนการของ R&D คือโจทย์สำคัญที่กำลังหาข้อสรุปเช่นกัน ว่าเอสซีจีจะทำงานวิจัยร่วมกับคนที่อยู่นอกองค์กรได้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะ External Innovation ของคนแบบสตาร์ทอัพ คนที่มีความรู้เรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ ต้องดูว่าเอสซีจีจะสามารถทำแพลตฟอร์มใหม่ๆ รองรับเรื่องพวกนี้ได้หรือไม่ เพื่อให้ได้นวัตกรรมสินค้าและบริการแบบใหม่ที่เร็วขึ้นกว่าเดิม
บริษัทใหม่ AddVenture By SCG ที่ประกาศตัวเป็น Corporate Venture Capital เพื่อสนับสนุนและเสริมศักยภาพสตาร์ทอัพเลยเกิดขึ้น เป็นการตอกย้ำยุทธศาสตร์การเติบโต และสร้างภูมิคุ้มกันของการทำธุรกิจในทุกรูปแบบของเอสซีจี