ความจริงใจในการรับผิดชอบต่อสัญญาเงินกู้ ไม่เคยขอลดหนี้ และจ่ายเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยได้ครบตามกำหนด ทำให้สถานการณ์ไม่เลวร้ายลงไปกว่าเดิม
หลังจากปรับโครงสร้างธุรกิจมาโฟกัสเฉพาะธุรกิจที่เอสซีจีถนัดตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงแล้ว ส่งผลให้ในตอนนั้นเอสซีจีสามารถทำทุกอย่างตามแผนที่วางไว้
ในขณะเดียวกันก็มีทีมผู้บริหารเดินสายไปอธิบายกับเจ้าหนี้ในต่างประเทศ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการแก้ปัญหา พร้อมรับผิดชอบต่อสัญญา และยืนยันว่าจะจ่ายเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยให้ครบตามกำหนด
พี่กานต์เล่าว่า
“บางประเทศพอมีปัญหาเขาไม่ชำระหนี้ หรือไม่ยอมจ่ายดอกเบี้ยเลย ต้องย้ำเลยว่าเอสซีจีไม่เคยขอลดหนี้ แต่ขอความร่วมมือจากสถาบันการเงินต่างๆ ให้งดเว้นเร่งรัดหนี้สินก่อนกำหนด เราจะจ่ายให้ทุกอย่างตามสัญญา”
การแสดงเจตนาและความรับผิดชอบดังกล่าว สร้างความเชื่อถือให้เจ้าหนี้ และไม่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปกว่าเดิม
“ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นความมีเหตุมีผล เราไม่ต้องการทำให้เจ้าหนี้เดือดร้อน เพราะการที่เขาเอาเงินมาให้เรากู้ เขาก็ไประดมเงินมาจากที่อื่น เอามาจากลูกค้าเงินฝาก ถ้าเราไม่คืนเงินก็จะสร้างปัญหาให้เขาอย่างต่อเนื่องเหมือนกัน ตอนนั้นชื่อเสียงของเราในเรื่องความซื่อสัตย์โด่งดังและเป็นที่ยอมรับอย่างมากๆ ในวงการธุรกิจ”
ไม่ยอมท้อ มองหาตลาดใหม่ เพื่อกระจายความเสี่ยง
เมื่อกำลังซื้อของตลาดในประเทศลดลง บริษัทได้หารายได้ทดแทนด้วยการหาตลาดในต่างประเทศเพิ่มขึ้น แต่ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายๆ เลย ผลของต้มยำกุ้งทำเอาแซ่บไปทั่วเอเชีย และกระทบไปอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลก
แต่ผู้บริหารและพี่ๆในยุคนั้นไม่ยอมท้อ ในวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ ในปี 2541 บริษัทค้าสากลซิเมนต์ไทย (เอสซีจี เทรดดิ้ง) สามารถเปิดตลาดใหม่ให้กับกลุ่มธุรกิจซีเมนต์ในสหรัฐอเมริกา บราซิล ไอวอรี่โคสต์ มอริเตเนีย กินี สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ และอิตาลี เป็นต้น
รวมถึงความสามารถในการส่งออกกระดาษพิมพ์เขียน และกระดาษอุตสาหกรรมไปจำหน่ายยังประเทศต่างๆ มากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก
ส่วนการส่งออกเซรามิกยากกว่าสินค้าอื่นๆ
“เซรามิกส่งออกยากไม่เหมือนสินค้า Commodity อื่นๆ เพราะมีการดีไซน์ลายออกมาเรียบร้อยแล้ว รสนิยมคนบ้านเรากับต่างประเทศไม่เหมือนกัน แม้แต่บ้านเราเองลายที่คนภาคกลางชอบ ส่งไปขายภาคอื่นยังขายไม่ออกเลย ความชอบไม่เหมือนกัน ต้องยอมตัดสต๊อกทิ้ง ผลิตใหม่ หาตลาดใหม่ เหนื่อยมากๆ”
ปัญหาของธุรกิจเซรามิกที่ขาดทุนอย่างมากในยุคนั้น คือบทเรียนและเป็นที่มาของวิธีคิดใหม่ในการทำตลาดของยุคต่อมา คือ “เซรามิกไม่ใช่สินค้าวัสดุก่อสร้าง แต่เป็นสินค้าแฟชั่น และหัวใจของสินค้าแฟชั่น คือ “Speed”
นอกจากคู่แข่งด้านการส่งออกแล้ว ยังมีการปรับราคาสินค้าในประเทศให้เหมาะสม ควบคุมเงินทุนหมุนเวียน ลดการใช้จ่ายการลงทุนทั้งหมด และเน้นการบริหารเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสามารถชำระหนี้ตามกำหนด
การหาตลาดใหม่ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนั้นลามไปทั่วเอเชีย และยังส่งผลไปยังประเทศอุตสาหกรรมใหญ่อีกหลายประเทศ เช่น อเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น
พี่เชาวลิต เอกบุตร เล่าว่า การที่ค่าเงินอ่อนลงมากๆ ในช่วงต้มยำกุ้ง ข้อดีก็คือ ทำให้การส่งออกสินค้าได้ราคาที่สูงขึ้น แต่ปัญหาสำคัญก็คือ จะหาลูกค้าที่ไหน ที่ผ่านมาเราถนัดเราเก่งแต่ลูกค้าในบ้าน แต่ถ้ามัวแต่กลัวไม่ทำอะไรเลยบริษัทจะฟื้นตัวกลับมาได้อย่างไร ต้องยอมรับว่าความสำเร็จในช่วงนั้นเพราะความสามารถในการปรับตัวเรียนรู้ตลาดใหม่ๆ และความทุ่มเทของพนักงานในสมัยนั้นอย่างมาก
“เซลส์ที่ขายของส่วนใหญ่เคยขายแต่ในประเทศ ภาษาก็อาจจะไม่ดี พี่ๆ ก็ไปดึงน้องๆ ในส่วนต่างๆ ที่เคยไปเรียนต่างประเทศ ภาษาดี และคุ้นเคยกับประเทศพวกนั้นให้เข้ามาช่วยขายของ พี่จำได้เลยว่าตอนนั้นคุณชุมพลพูดกึ่งตลกกึ่งจริงว่า ซื้อตั๋วเครื่องบินให้เที่ยวเดียว ไปขายของ ขายได้ก็มีตั๋วกลับ ซึ่งน้องๆ ก็สามารถทำได้ดี”
ความจำเป็นที่ต้องไปหาตลาดในต่างประเทศในช่วงเวลานั้น ทำให้เอสซีจีรู้จักลูกค้าได้กว้างและมากขึ้น ส่งผลให้ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2551 ปัญหาที่เกิดขึ้นในตลาดอเมริกาและยุโรปส่งผลกระทบกับเอสซีจีน้อยมาก เพราะตอนนั้นบริษัทสามารถกระจายความเสี่ยงโดยส่งของไปขายแล้วกว่า 50 ประเทศ
การปรับตัวที่ค่อนข้างเร็วเริ่มจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ เร่งหาตลาดใหม่ การทุ่มเทกายใจของพนักงานเอสซีจีในการร่วมมือกันประหยัดค่าใช้จ่ายในบริษัท เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้ในปี 2547 เป็นปีแห่งความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ เพราะเอสซีจีสามารถพลิกมาทำกำไรสุทธิสูงถึง 36,483 ล้านบาท สูงกว่าทุกปีตั้งแต่ตั้งบริษัทมา