หลายคนคงคิดไม่ถึงว่าองค์กรใหญ่ที่ในปี 2559 ที่ผ่านมามียอดขาย 423,442 ล้านบาท มีกำไรถึง 56,084 ล้านบาท ในปีที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง เอสซีจีจะมียอดหนี้เงินกู้สูงถึง 246,700 ล้านบาท และมีผลขาดทุนกว่า 52, 551 ล้านบาท เป็นบริษัทที่มีหนี้สินสูงติดอันดับต้นๆ ของประเทศเลยทีเดียว
“ต้มยำกุ้ง” วิกฤตทางการเงินครั้งร้ายแรงที่สุดของเมืองไทยในปี 2540 เป็นบทเรียนที่แสนเจ็บปวดของเอสซีจี คือเรื่องเล่าที่พี่ๆ เอสซีจี ต้องการให้คนรุ่นหลัง โดยเฉพาะนักธุรกิจรุ่นใหม่ๆ ได้รับรู้ ยึดถือเป็นบทเรียนสำคัญในการทำธุรกิจและการดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาท และเพื่อถ่ายทอดการน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในเอสซีจีจากรุ่นสู่รุ่น
รวมทั้งต้องการเป็นแรงบันดาลให้ประชาชนและภาคส่วนต่างๆ สืบสานพระราชปณิธานเศรษฐกิจพอเพียงในแบบที่เหมาะสมกับตนเอง
“ฝันร้าย” ที่ไม่มีใครต้องการ “ฝันซ้ำ”
ในวันที่น้องๆ เจน Y หลายคนยังเด็กมากๆ น้องๆ เจน Z อาจจะยังไม่เกิด
เมื่อเกิดวิกฤต “ต้มยำกุ้ง” ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ ภาพเหตุการณ์ของการปิดบริษัท ปิดสถาบันการเงิน คนตกงาน ถูกลดเงินเดือน บ้านโดนยึด หลายคนต้องออกจากโรงเรียน ต้องเอาของมือสองใส่ท้ายรถเร่ขายตามตลาดนัด เพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว ยังเป็นฝันร้ายที่คนรุ่นพี่ๆ หลายคนไม่เคยลืมเลือน
ย้อนอดีตกลับไปหลังจากเอสซีจีดำเนินธุรกิจมาประมาณ 69 ปี และตั้งแต่ปี 2525 เป็นต้นมา เริ่มมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดและมองหาโอกาสในการลงทุนนอกประเทศอย่างจริงจัง พร้อมๆ กับขยายตัวอย่างรวดเร็วในทุกๆ ด้าน ทั้งธุรกิจดั้งเดิมและธุรกิจใหม่ มีทั้งการซื้อกิจการและร่วมทุน ตั้งแต่ธุรกิจขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ นำไปสู่การร่วมมือกับบริษัทระดับโลกหลายบริษัท จากธุรกิจหลักคือ ซิเมนต์ ได้ขยายไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ๆ ถึง 10 กลุ่มธุรกิจคือ ซิเมนต์, วัสดุก่อสร้าง, เซรามิก, จัดจำหน่าย, ปิโตรเคมี, กระดาษ, เหล็ก, ยานยนต์, ไฟฟ้า และเครื่องจักรกล รวมบริษัทในเครือทั้งหมดกว่า 140 บริษัท
พี่กานต์ ตระกูลฮุน อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ปี 2549-2558 ) เล่าว่า
“สมัยนั้นใครก็อยากให้เอสซีจีกู้ ด้วยความที่เป็น Leader เป็นบริษัทที่ใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศ มีธุรกิจมากมาย และใครๆ ที่มาลงทุนในเมืองไทยก็จะเข้ามาหา อยากทำธุรกิจด้วย”
เป็นโอกาสดีที่จะทำให้บริษัทเติบโตไปพร้อมๆ กับเศรษฐกิจไทยที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งบางปีสูงเกินร้อยละ10 จนสื่อต่างประเทศถึงกับคาดการณ์ว่าไทยกำลังจะกลายเป็น “เสือเศรษฐกิจ” ตัวใหม่ของเอเชีย
ในช่วงเวลานั้นเอสซีจีมีผลกำไรระหว่าง 4,000-5,000 ล้านบาทต่อปี และในปี 2539 กำไรสุทธิพุ่งขึ้นถึง 6,800 ล้านบาท พร้อมๆ กับเงินกู้สุทธิสูงถึง 119,000 ล้านบาท
ถัดมาในปี 2540 ภาวะเศรษฐกิจไทยพลิกผันอย่างหนัก เกิดปรากฏการณ์ “วิกฤตต้มยำกุ้ง” โดยมีสาเหตุมาจากการลงทุนเกินตัวของผู้ประกอบการ การเก็งกำไรในราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และความไม่รอบคอบในการกำกับดูแลระบบการเงินของภาครัฐ
วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2540 รัฐบาลไทยในสมัย พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้ค่าเงินบาทลดลงอย่างมาก จากอัตราแลกเปลี่ยน 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นไปทันทีที่ 40 บาท และไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึง 52 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลกระทบกับหลายบริษัทที่ไปกู้เงินดอลลาร์สหรัฐมาลงทุน
นอกจากนี้ ในช่วงก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง เศรษฐกิจภายในประเทศเติบโตแบบสุดๆ แต่ไม่ได้โตอย่างแท้จริง มีการสร้างดีมานต์เทียมมาหลอกสร้างภาพให้เข้าใจกันว่าเศรษกิจโต แต่ที่จริงแล้วเกิดจากการเก็งกำไรซื้อเพื่อขายต่อหากำไรไม่ได้มีความต้องการสินค้านั้นจริง เช่น บ้าน ที่ดิน คอนโด ที่คนซื้อเพื่อเก็งกำไร ผู้ผลิตก็เร่งผลิต ทุกอย่างล้วนลวงตา เปรียบเหมือนฟองสบู่ เมื่อเศรษฐกิจโตจนถึงขีดสุดแล้ว พอถึงจุดอิ่มตัวก็แย่แบบสุดๆ เมื่อฐานไม่แข็งแรง เศรษฐกิจก็พัง กลายเป็นฟองสบู่แตก ภาพลวงตาที่เห็นก็ปรากฎเป็นความจริงแทน
เมื่อฟองสบู่เศรษฐกิจแตก หลายบริษัทล้มละลาย กลายเป็นปัญหาต่อเนื่องทำให้สถาบันการเงินถูกปิดตัวไป 58 แห่ง เอสซีจีก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นเดียวกัน หลังการลอยตัวอัตราแลกเปลี่ยนยอดหนี้เงินกู้ที่สูงอยู่แล้วเพิ่มมูลค่าสูงขึ้นไปอีกกว่าเท่าตัว กลายเป็น 246,700 ล้านบาท
ส่วนเงินกำไรที่เคยพุ่งสูงถึงเกือบ 7,000 ล้านบาทในปีก่อนหน้านั้น กลายเป็นขาดทุนถึง 52,551 ล้านบาทโดยทันที พร้อมๆ กับกำลังซื้อในประเทศหดหาย ความต้องการซื้อสินค้าในประเทศลดลง โดยเฉพาะความต้องการของสินค้าหลักคือซิเมนต์ที่ลดลงกว่าครึ่ง
ทางออกที่ยั่งยืนอย่างแรกของปัญหานี้คือ หันกลับมายึดหลักความพอประมาณ ประหยัด ใช้ทรัพยากรที่มีอย่างคุ้มค่า อันเป็นปรัชญาในการทำงานที่สอดคล้องกับแนวพระราชดำริปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่รัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานให้แก่ปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ