16 สิงหาคม 2560
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเราได้ยินคำว่า "หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" กันอยู่บ่อยครั้ง และยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจว่าเศรษฐกิจพอเพียงคือ เรื่องของการทำเกษตร ปลูกข้าว ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ อยู่กับท้องไร่ท้องนาเท่านั้นทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว "หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่เรื่องของการเกษตร แต่เป็นหลักคิดที่ ทุกธุรกิจ ทุกอาชีพ และทุกคน สามารถนำไป ใช้ได้ทั้งนั้น เพราะศาสตร์ของพระราชาในเรื่องนี้ "สอนให้เราทำธุรกิจอย่างยั่งยืน" โดยตั้งอยู่บนพื้นฐาน "ความไม่ประมาท" เตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ธุรกิจอยู่ได้อย่างมั่นคงตลอดไป
SCG คือหนึ่งในองค์กรที่น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ จนสามารถนำพาองค์กรให้ผ่านพ้นมรสุมลูกใหญ่ทางธุรกิจได้สำเร็จ โดยในช่วงหนึ่งเรามีวิธีคิดในการดำเนินธุรกิจตามหลักสากลทั่วไป คือ การขยายธุรกิจ มุ่งผลกำไรเป็นสำคัญ สร้างการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งเกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ซึ่ง SCG ก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับวงการธุรกิจและอุตสาหกรรมทั่วประเทศ เมื่อมีการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้บริษัทมียอดเงินกู้เพิ่มขึ้นกว่า 2.7 แสนล้านบาท เพราะการขยายธุรกิจของเอสซีจีสมัยนั้นใช้วิธีกู้เงินจากต่างประเทศเป็นหลัก
ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจทำให้ความต้องการปูนซีเมนต์หายไปเกือบครึ่งหนึ่งเหลือเพียง 21 ล้านตัน ความต้องการกระดาษและเม็ดพลาสติกลดลงอย่างมาก ขณะที่รายได้ลดลง แต่ยอดหนี้ท่วมสูงเกินกว่ายอดขาย ทำให้เรามีผลขาดทุนกว่า 5.25 หมื่นล้านบาท ถือเป็น จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ SCG ต้องหาทางแก้ไขเพื่อความอยู่รอด จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ได้น้อมนำแนวพระราชดำรัสปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้
หัวใจสำคัญของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงนั้น ยึดเรื่อง 2 เงื่อนไข คือ ความรู้และคุณธรรม ผ่านกระบวนการคิด 3 หลักการ คือ พอประมาณ มีเหตุผล และภูมิคุ้มกันที่ดี เพื่อผลลัพธ์แห่งการสร้างความสมดุลใน 4 มิติ ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม
SCG เริ่มต้นปฏิบัติด้วย "ความพอประมาณ" โดยประเมินความสามารถขององค์กรว่ามีความสามารถในด้านใด สำรวจทุนทรัพย์ ทุนวัตถุดิบ และทุนบุคลากร เพื่อนำไปสู่ "ความมีเหตุผล" คือ ลดบทบาทในธุรกิจที่ไม่ถนัดและหันกลับมาทุ่มเททำธุรกิจที่ถนัดให้มีประสิทธิภาพ พร้อมเร่งสร้าง "ภูมิคุ้มกัน" โดยวางแผนบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรัดกุม เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภาวะวิกฤตทั้งในด้านการดำเนินธุรกิจ และด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล
นอกจากการประเมินสถานการณ์ และประเมินตน (Self-Assessment) แล้ว การขยายธุรกิจอย่างยั่งยืนของ SCG ยังให้ความสำคัญกับการสั่งสม "ความรู้" เพื่อให้ทันกับ สถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยส่งเสริมการพัฒนาองค์ความรู้ของพนักงาน เพราะเชื่อว่าองค์กรจะยั่งยืนได้ พนักงานจะต้องยั่งยืนด้วย อีกทั้งยังต้องพัฒนาองค์ความรู้ขององค์กรโดยสนับสนุนการศึกษาวิจัย สำรวจพฤติกรรมลูกค้า ศึกษาตลาดกฎระเบียบ มาตรฐานการลงทุน เพื่อพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค และไม่ก่อให้เกิดปัญหาในทุกๆ ด้าน
อีกสิ่งหนึ่งที่ SCG ได้เรียนรู้จากหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คือ การดำเนินธุรกิจด้วย "คุณธรรม" เน้นสร้างองค์กรคนเก่งและดี และด้วยยุทธศาสตร์ธุรกิจที่อิง แนวทางหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้ SCG สามารถผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจ และพลิกกลับขึ้นมามีกำไรได้สูงถึง 36,483 ล้านบาท ในปี 2547 และในปี 2559 มีกำไร 56,084 ล้านบาท
จากปัญหานำมาสู่จุดเริ่มต้นของการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วย "หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" ที่ SCG นำมาประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการองค์กร การขยายธุรกิจ การขยายบทบาทพนักงาน และการดูแลคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆ จนเกิดเป็นบทสรุปที่ยืนยันด้วยความสำเร็จของ SCG ที่สามารถยืนหยัดท่ามกลางปัญหา และเติบโตอย่างแข็งแกร่ง รอบคอบ มั่นคง เฉกเช่นทุกวันนี้
ในครั้งต่อไปเราจะมาลงลึกถึงแก่น ของการดำเนินธุรกิจตามหลักเศรษฐกิจ พอเพียงที่ SCG นำมาปรับใช้ในการบริหาร จัดการทรัพยากรบุคคลเพื่อการพัฒนาอย่าง ยั่งยืนได้อย่างไร...
รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส
กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี
กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับ วันพุธที่ 16 สิงหาคม 2560 คอลัมน์: CEO Talk หน้า C1,C2