เป็นครั้งแรกที่เอสซีจีจ้างบริษัทที่ปรึกษาชื่อดังระดับโลกมาช่วยวางแผนกู้วิกฤต โดยได้น้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นแนวทางในการทำงาน
ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยส่งผลให้ความต้องการสินค้าของตลาดในประเทศลดลงรวดเร็วอย่างน่าใจหาย
พี่เชาวลิต เอกบุตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ การเงินและการลงทุน เอสซีจี และกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี การลงทุน เล่าว่า
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือความต้องการปูนซีเมนต์ลดลงอย่างมาก เมื่อการก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ทั้งแนวราบ แนวสูงหยุดชะงัก และการปรับลดงบประมาณด้านสาธารณูปโภคของภาครัฐ โดยเฉพาะตลาดสินค้าปูนสำเร็จรูปที่พัฒนาขึ้นเพื่อความสะดวกในงานอาคารสูง หดลงจากปี 2540 ถึง 52%
เมื่อโครงสร้างการก่อสร้างไม่เกิด ผลกระทบหนักต่อมาคือตลาดกระเบื้องปูพื้นและบุผนังเซรามิก รวมทั้งเครื่องสุขภัณฑ์และก๊อกน้ำ ที่ยอดขายลดลง 40% ปริมาณการผลิตมีมากเกินความต้องการของตลาด จึงเกิดการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง
ส่วนความต้องการกระดาษคราฟท์ในปี 2541 ลดลง 17% ด้านธุรกิจเคมีภัณฑ์ถึงจะมียอดขายรวมสูงกว่าปี 2540 แต่กำไรก็ใกล้เคียงกัน
เป็นช่วงเวลาแห่งความเคร่งเครียดตื่นตระหนก ในเดือนสิงหาคม 2541 พี่กานต์ ตระกูลฮุน ซึ่งในขณะนั้นถูกส่งไปดูเรื่องการลงทุนด้านปิโตรเคมีที่อินโดนีเซีย ได้ถูกเรียกตัวกลับมาเป็นหัวหน้าทีมเพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ขององค์กร โดยใช้ทีมงานระดับจัดการเป็นหลัก เช่น พี่กานต์ ตระกูลฮุน พี่ปราโมทย์ เตชะสุพัฒน์กุล พี่ขจรเดช แสงสุพรรณ และพี่ๆ นักเรียนทุนที่เรียนจบเอ็มบีเอ รวมแล้วประมาณ 40 คน ทำงานแข่งกับเวลาอย่างหนัก เกือบทั้งวันทั้งคืนไม่มีหยุด
ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเอสซีจีมีความมั่นใจอย่างยิ่งในการทำธุรกิจ เพราะถึงแม้ว่าบริษัทจะซื้อเทคโนโลยีใหม่ๆของโลกมาใช้ หรือร่วมทุนกับพาร์ตเนอร์ที่สำคัญหรือเจ้าของเทคโนโลยีต่างๆ ล้วนอยู่ภายใต้การมองทางยุทธศาสตร์และการตัดสินใจภายใต้กระบวนการศึกษาหาความรู้ของเอสซีจีทั้งสิ้น
ดังนั้น เอสซีจีไม่เคยจ้างที่ปรึกษามาก่อน เพราะคิดว่าธุรกิจที่ทำมานานในประเทศไทยไม่มีใครรู้ดีกว่าเรา แต่เพื่อความไม่ประมาท คราวนี้เอสซีจีได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาที่มีชื่อเสียงระดับโลกมาช่วยในเรื่องปรับโครงสร้างธุรกิจด้วย เช่น McKinsey, Goldman sachs, Deutsche Bank, และ Chase Manhattan Bank เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น
น้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทาง
การทำงานร่วมกับบริษัทที่ปรึกษาต่างประเทศ เอสซีจีได้น้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นแนวทางในการทำงาน เริ่มจากความพอประมาณ โดยปรับลดขนาดโครงสร้างธุรกิจที่ใหญ่โตมากมายลง และกำหนดธุรกิจเป็น Core Business, Non-core-business และ Potential-core และต้องยอมขายธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักเพื่อลดหนี้
ข้อมูลจากรายงานประจำปี 2541 ระบุว่า เอสซีจีมีโครงการลงทุนในประเทศที่ยกเลิก พัก หรือชะลอไปไม่ต่ำกว่า 15 โครงการ เป็นเงินทั้งหมด 107,552 ล้านบาท เป็นเงินลงทุนของเอสซีจี 29,780 ล้านบาท เป็นโครงการใหญ่ในต่างประเทศ 4 โครงการ เป็นเงิน 607 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นเงินลงทุนของเอสซีจี 88 ล้านเหรียญสหรัฐ
จากผลสรุปดังกล่าวทำให้เอสซีจีปรับโครงสร้างจาก 10 กลุ่มธุรกิจ เป็น 5 กลุ่มธุรกิจหลักคือ เคมีภัณฑ์, กระดาษ, ซิเมนต์, ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และจัดจำหน่าย
พี่รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ ก็เคยเล่าย้ำในเรื่องนี้ว่า
“บริษัทฯ กลับมาเอกซเรย์ตัวเองอย่างจริงจัง จากที่เคยขยายธุรกิจไปมากมายนับสิบ มาโฟกัสในธุรกิจหลักที่เราทำและเก่ง หรือที่เรียกว่า Core Business ก็ทำให้ดีขึ้น ส่วนธุรกิจที่ไม่ชำนาญ หรือ Non-Core Business ก็หาคนมาเทกโอเวอร์ ส่วนธุรกิจที่อยู่ตรงกลาง จะเก่งก็ไม่เชิง ไม่เก่งก็ไม่เชิง ก็ลองมาดูจริงๆ ว่าสามารถทำต่อในระยะยาวได้หรือไม่”
การกล้าเผชิญความจริงว่าหลายๆ ธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จ เพราะไม่มีความเชี่ยวชาญ จำเป็นต้องขายออกไป ทำให้เกิดโครงสร้างใหม่ ส่งผลให้บริษัทสามารถทำงานได้อย่างกะทัดรัดมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ที่สำคัญอย่างมากก็คือทุกกิจการที่ขายไป บริษัทใหม่ก็สามารถเดินหน้าธุรกิจไปต่อได้อย่างดี