อุดมการณ์ 4 ไม่ใช่เรื่องการท่องจำ และไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ แต่ต้องมีวิธีการหล่อหลอม ปลูกฝัง ให้หยั่งรากลึก แข็งแรง และต้องเติบโตในจิตวิญญาณของคนอย่างจริงจัง
คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เคยเล่าไว้ว่า นิยามคนเก่งจะประกอบไปด้วย 4 เรื่อง คือ เก่งงาน, เก่งคน, เก่งคิด, เก่งเรียน แต่นิยามของคนดี ต้องประกอบถึง 10 เรื่อง คือการมีน้ำใจ, ใฝ่ความรู้, มีความวิริยะอุตสาหะ, มีความเป็นธรรมและซื่อสัตย์, เห็นแก่ส่วนรวม, รู้หน้าที่ในงาน ในครอบครัว, มีทัศนคติที่ดี, มีวินัยและมีสัมมาคารวะ, มีเหตุมีผล, รักษาชื่อเสียงของตัวเองและบริษัท
การสร้างคนดีจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และเอสซีจีได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาตลอดศตวรรษ
ฝัง DNA คนเอสซีจีด้วยอุดมการณ์ 4
ย้อนอดีตกลับไปเมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้วการปฏิบัติในเรื่อง “ตั้งมั่นในความเป็นธรรม, มุ่งมั่นในความเป็นเลิศ, เชื่อมั่นในคุณค่าของคน, ถือมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคม” ที่มีอยู่ในตัวคนเอสซีจีมานาน ถูกตกผลึกขึ้นมาเป็น “อุดมการณ์ 4” ในช่วงเวลานั้น ซึ่งเป็นสมัยที่คุณจรัส ชูโต เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ และถูกหล่อหลอมฝังลึกในตัวคนรุ่นแล้ว รุ่นเล่า และเมื่อถอดรหัสออกมาก็จะพบว่าสอดคล้องกับแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอย่างน่ามหัศจรรย์
พี่ยุทธนา เจียมตระการ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การบริหารกลาง เอสซีจี เล่าว่าหนึ่งในอุดมการณ์ 4 คือ เรื่องเชื่อมั่นในคุณค่าของคน ได้มีการบริหารจัดการคนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในเรื่องความเป็นธรรมที่เริ่มตั้งแต่กระบวนการคัดสรรน้องๆ และพนักงาน มาร่วมทีมโดยใช้รูปแบบของคณะกรรมการ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับคนให้สัมภาษณ์มากที่สุด
“การปลูกฝังคนของเอสซีจีในเรื่องวัฒนธรรมองค์กรที่สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในเรื่องความรู้คู่คุณธรรม เริ่มตั้งแต่การสื่อสารให้พนักงานเข้าใจ เหมือนการเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม คนอื่นทำอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น ต้องให้รู้ว่าเอสซีจีมีวัฒนธรรมองค์กรอย่างไร แบบไหนที่คนเอสซีจีทำ แบบไหนที่คนเอสซีจีไม่ทำ”
ต่อมาคือการปลูกฝังผ่านกระบวนการทำงาน ในทุกๆ ขั้นตอนทำงานจะมีพี่ๆ เป็นตัวอย่างในการปฏิบัติตนเองในเรื่องต่างๆ เช่น การดูแลพนักงาน เพื่อนร่วมงาน คู่ค้า ผู้รับเหมา ลูกค้า ชุมชน สิ่งแวดล้อม น้องๆ จะได้เห็น และรับรู้ว่าจะต้องดูแลคนเหล่านั้นอย่างไร เพื่อให้สอดคล้องกับเรื่องการเป็นคนเก่งและคนดี
รวมทั้งกระบวนการคิดในเรื่องต่างๆ
“เช่น สมมุติมีการของบก่อสร้างโรงงาน มีการส่งแบบมาให้ 2 แบบ แบบแรกใช้เงิน 100 ล้านบาท แบบที่ 2ใช้เงิน 110 ล้านบาท แต่แบบหลังมีแผนของกระบวนการลดพลังงานในโครงการ มีระบบกำจัดฝุ่น ดูแลน้ำเสียให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งดูแลชุมชนอย่างละเอียดแนบมาด้วย เราจะอนุมัติแบบที่ 2 แม้จะมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้น้องๆ ทุกคนตระหนักว่า การดูแลสิ่งแวดล้อมที่จะมีผลต่อคุณภาพชีวิตของคนเป็นสิ่งสำคัญ”
ทุกอย่างถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น รวมทั้งถูกถ่ายทอดไปยังคนของเอสซีจีในประเทศต่างๆ ในภูมิภาค อาเซียนด้วย
“เราเชื่อมั่นในระบบพี่สอนน้อง หัวหน้าสอนลูกทีม ต้องมีการถ่ายทอดเป็นระบบให้เขาเข้าใจ เพราะมันอยู่ในทุกๆ กระบวนการของการตัดสินใจ ทุกๆ กระบวนการของกิจกรรมต่างๆ เราเชื่อว่าทุกระบบการทำงานเราปลูกฝังสิ่งที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจพอเพียงมาตลอด เพียงแต่เราไม่ได้หยิบมาพูดอย่างชัดเจน แต่เป็นสิ่งที่ทุกๆ คนซึมซับในทุกกระบวนการ
“จิตอาสา” ต้องอยู่ในใจ “คน”
เรื่องการทำ CSR ตรงกับอุดมการณ์ข้อหนึ่งที่ว่า ถือมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเอสซีจีมีโครงการต่างๆ ให้พนักงานเข้าร่วมอย่างมากมาย เช่นโครงการค่ายอาสาพัฒนาเอสซีจี ซึ่งแม้จะประสบความสำเร็จและทำกันมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีพนักงานจำนวนมากที่ต้องการบำเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวม
ในปี 2550 จึงได้เกิดโครงการ “ปันโอกาส วาดอนาคต” ที่เปิดโอกาสให้พนักงานรวมกลุ่มกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปเสนอโครงการอันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย โดยมีมูลนิธิซิเมนต์ไทย สนับสนุนค่าใช้จ่าย อันเป็นการปลูกฝังและพัฒนาให้พนักงานมีจิตอาสา ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคม
รวมทั้งโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เช่น โครงการเอสซีจี รักษ์น้ำเพื่ออนาคต โครงการวิจัยดินเค็ม โครงการเพื่อนชุมชน ฯลฯ ซึ่งทุกครั้งจะมีพนักงานจิตอาสาของเอสซีจี ส่วนหนึ่งเข้าร่วมงานด้วย
ทุกกิจกรรมเอสซีจีพยายามเน้นให้เกิดความต่อเนื่องครบวงจร เพื่อให้สามารถต่อยอดในระยะยาว เช่น หลังจากกิจกรรมสร้างฝายชะลอน้ำเริ่มไปได้สักระยะหนึ่ง เพื่อการขยายผลอย่างยั่งยืนจึงมุ่งเน้นการปลูกฝังจิตสำนึกด้วยวิธีการที่เรียกว่า “สร้างฝายในใจคน” โดยให้ความรู้และโอกาสในการเข้าถึงองค์ความรู้จากภายนอก เพื่อนำมาปรับใช้การแก้ปัญหาภายในชุมชน เป็นการเรียนรู้ร่วมกัน และต่อยอดขยายผลไปยังชุมชนอื่นๆ เป็นการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างโรงงาน พนักงาน และชุมชนอย่างเกื้อกูล
ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตการณ์ต่างๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน ภัยธรรมชาติ หรือโรคภัยไข้เจ็บ องค์กรใหญ่ๆ มักจะตัดงบประมาณด้านการช่วยเหลือสังคมเพื่อประคองธุรกิจให้ผ่านวิกฤตไปได้ แต่การดำเนินโครงการ CSR ของเอสซีจียังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง ด้วยความเชื่อมั่นว่า การทำ CSR จะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับองค์กร ทั้งด้านธุรกิจและด้านสังคมในระยะยาว