ENERGY TRANSITION SOLUTIONS

วิกฤตโลกร้อน และราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กำลังเป็นปัญหาที่หลายภาคส่วนให้ความสำคัญ ผู้บริโภค ตลอดจนองค์กรขนาดใหญ่มุ่งดำเนินธุรกิจไปพร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อแก้วิกฤตโลกร้อน โดยเฉพาะการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ (Net Zero Carbon Emission) นอกจากนี้ยังมีผลจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น แนวโน้มอัตราค่าไฟที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จากสถานการณ์พลังงานผันผวนทั่วโลก ทำให้พลังงานสะอาดได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม โดยเฉพาะในกลุ่มบ้านอยู่อาศัย นิคมอุตสาหกรรม กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม กลุ่มอาคารขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มโรงแรม ห้างสรรพสินค้า


1. เอสซีจีปรับกระบวนการผลิตโดยเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน

เอสซีจีเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน เช่น การใช้พลังงานคาร์บอนต่ำ เช่น พลังงานชีวมวล (Biomass) จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและเชื้อเพลิงจากขยะ (Refuse Derived Fuel: RDF) ในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ การใช้ลมร้อนเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิต และพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อลดการใช้ถ่านหิน และพลังงานไฟฟ้าในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ รวมถึงการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า และการปรับใช้รถบรรทุกหินปูนขนาด 60 ตัน ชนิดไฟฟ้า (Electric Vehicle Mining Truck) ในเหมืองปูนเป็นแห่งแรกในประเทศไทย สอดคล้องกับแนวทางอุตสาหกรรมเหมืองแร่สีเขียว

2. SCG Solar Roof Solutions ระบบหลังคาโซลาร์ สำหรับ

ที่อยู่อาศัย

เอสซีจี “โซลาร์รูฟ โซลูชัน” เดินหน้าพัฒนาสินค้าและบริการ เพื่อตอบสนองความนิยมและพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคยุคใหม่อย่างตรงจุด จึงผลักดันให้บ้านเป็น ‘Home Energy Management’ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้ไฟฟ้าในบ้านของคนยุคใหม่ได้อย่างครอบคลุม ยกระดับให้การใช้ชีวิตในบ้านเป็น ‘Smart Living’ ด้วยการนำเทคโนโลยีมาเป็นส่วนหนึ่งของการอยู่อาศัย SCG Solar Roof

• ระบบออนกริด (On Grid) เป็นระบบโซลาร์ที่ใช้ทั้งไฟจากการไฟฟ้าและไฟฟ้าที่ผลิตได้จากแผงโซลาร์ เหมาะกับบ้านที่ใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลากลางวัน ไม่มีแบตเตอรี่ ผลิตไฟฟ้าได้แล้วใช้เลยและสามารถขายไฟ คืนให้การไฟฟ้าได้ ซึ่งก่อนติดตั้งระบบโซลาร์ต้องขออนุญาตการไฟฟ้าก่อน ซึ่งทาง SCG จะดำเนินการขออนุญาตจากภาครัฐให้ทั้งกระบวนการ

•SCG Solar Roof ระบบไฮบริด (Hybrid Grid)​ เป็นระบบที่มีการใช้ไฟจากทั้งการไฟฟ้า ไฟที่ผลิตได้จากแผงโซลาร์ และไฟจากแบตเตอร์รี่ ในกรณีที่แผงโซลาร์ผลิตกระแสไฟฟ้ามากเกินกว่าการใช้งาน ไฟจะถูกส่งไปยังแบตเตอรี่เพื่อกักเก็บไฟ แบตเตอรี่จะกักเก็บไฟ และสามารถดึงมาใช้ในช่วงเวลากลางคืน จึงทำให้มีพลังงานสะอาดไว้ใช้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง สามารถเป็นไฟฉุกเฉินสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าสำคัญของบ้าน

ระบบหลังคาโซลาร์ เอสซีจี มาพร้อมบริการติดตั้ง ออกแบบให้เหมาะกับการใช้งานของแต่ละครอบครัว ดูแลครบวงจร ตั้งแต่ตรวจสุขภาพหลังคาก่อนติดตั้ง เพิ่มความมั่นใจ ปลอดภัยอย่างไร้กังวล (Roof Health Check) ออกแบบการติดตั้งระบบโซลาร์ ให้มีประสิทธิภาพการผลิตไฟสูงสุด (Optimized Design) ดำเนินการเรื่องเอกสารขออนุญาตติดตั้งกับภาครัฐตลอดทั้งกระบวนการ (Free Solar Permitting Process) ติดตั้งโดยทีมช่างมืออาชีพโดยมีเทคโลโลยี Solar FIX ติดโซลาร์โดยไม่เจาะต้องหลังคา หมดกังวลกับปัญหาหลังคารั่วซึม (Professional Installation) ดูแลให้คำแนะนำ ตรวจเช็คระบบ ตลอดอายุการใช้งาน พร้อมรับประกัน 25 ปีโดยเอสซีจี (Excellent After Sale Service) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าในแต่ละเดือน ด้วยการใช้พลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ พร้อมมี SCG SOLAR Application ที่สามารถตรวจสอบพฤติกรรมการใช้ไฟ การผลิตไฟฟ้า และค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้อย่างเรียลไทม์

ข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.scgbuildingmaterials.com/th/solution/solar-roof
https://youtu.be/H2o28SWqVOc

Contact : หน้าร้าน SCG HOME Experience, SCG HOME บุญถาวร และ SCG Authorized Dealer ทั่วประเทศ หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ SCG HOME Contact Center 02-586-2222



3. โซลูชันพลังงานทดแทนครบวงจร ให้บริการในรูปแบบ Smart Grid เครือข่ายอัจฉริยะจัดการพลังงานสะอาด

จากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ทำให้ภาคอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศได้ตระหนักถึงปัญหาก๊าซเรือนกระจก ทำให้มีการมองหาการใช้พลังงานทางเลือก อย่างไรก็ตาม การใช้พลังงานทดแทนยังคงมีข้อจำกัดหลายด้าน เช่น การไม่มีพื้นที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ หรือไม่ต้องการให้มีโรงไฟฟ้าติดตั้งบนหลังคา รวมทั้งการติดตั้งมีค่าใช้จ่ายสูง ไม่คุ้มทุน

เอสซีจี จึงได้ริเริ่มการให้บริการพลังงานสะอาด ในรูปแบบ Smart Grid เครือข่ายอัจฉริยะจัดการพลังงานสะอาด เพื่อการซื้อ-ขายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้อย่างง่าย โดยมุ่งเน้นไปยังภาคอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศซึ่งมีมากกว่า 1,000 ราย อาทิ ลูกค้านิคมอุตสาหกรรม โรงงาน และหมู่บ้านจัดสรร และคาดว่าจะใช้พลังงานสะอาดมากกว่า 5,000 เมกะวัตต์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านพลังงานสำหรับอนาคตทั้งพลังงานทดแทน พลังงานสะอาดและพลังงานทางเลือก โดยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและทันสมัย โดยให้บริการตั้งแต่การขออนุญาต การติดตั้ง ดำเนินการ บำรุงรักษา การซื้อขายไฟฟ้าบนแพลตฟอร์มเสมือนจริง (Virtual Power Trading) ตลอดจนบริหารจัดการซื้อขายพลังงานและคาร์บอนระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย (Power & Carbon Trading Platform) ผ่านโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าที่มีการรับรอง Carbon Credit จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (Thailand Greenhouse Gas Management Organization – TGO) แบบครบวงจร

โซลูชันนี้ ช่วยประหยัดค่าไฟ 5-10% คุ้มค่ามากขึ้น เพราะสามารถเลือกใช้แหล่งพลังงานที่คุ้มค่าในเวลาที่ต้องการ อักทั้งยังสร้างการมีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจก ด้วยการทำให้ทุกคนเข้าถึงพลังงานสะอาดอย่างสะดวกสบาย จากการเลือกใช้แหล่งพลังงานที่คุ้มค่าในเวลาที่ต้องการ รวมถึงบริการซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Validation and verify Carbon Credits) สะดวกในแพลตฟอร์มเดียว ช่วยลดภาวะโลกร้อน มุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon Emission)
Contact: SCGCLEANERGY@SCG.COM



4. Circular Plus Solution นวัตกรรมโซลูชันด้านการจัดการวัสดุเหลือใช้ สร้างคุณค่าให้ทรัพยากรเกิดประโยชน์สูงสุด และดูแลด้าน สิ่งแวดล้อมเพื่อโลกที่ยั่งยืน

โซลูชั่นการจัดการทรัพยากรหมุนเวียนให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมและสังคมให้ก้าวสู่ Net Zero พร้อมทั้งการจัดการทรัพยากรอย่างคุ้มค่า” ที่ไม่เพียงสร้าง Circular Economy จากการแปรรูปเศษวัสดุทางการเกษตร ขยะชุมชน และกากอุตสาหกรรม ให้เป็นวัสดุที่มีมูลค่าอย่าง Green Material และ Green Fuel เช่น RDF, เชื้อเพลิง, แร่และหินทรายเพื่ออุตสาหกรรม แต่ยังพลัสด้วยการสร้างโครงสร้างการพัฒนา Low carbon economy และ low carbon product ให้กับอุตสาหกรรม พร้อมทั้งสร้างรายได้ให้ชุมชน



• โซลูชันการจัดการของเสียและวัสดุพลอยได้จากอุตสาหกรรม (Green Waste Management Solution) จากบริการรับกำจัดกากอุตสาหกรรมด้วยระบบของเตาเผาของปูนซีเมนต์ที่เป็น The co-processing incinerating เป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในปัจจุบัน สู่การบริหารจัดการครบวงจรที่จะช่วยลด waste ตั้งแต่ต้นทาง และช่วยเพิ่มมูลค่า โซลูชันการจัดการของเสียและวัสดุพลอยได้จากอุตสาหกรรม ครัวเรือน และเกษตรกรรม ทั้งระบบให้กลายเป็นวัสดุที่นำกลับมาใช้ใหม่ เพื่อสร้างคุณค่า และมีการจัดการที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม Circular Plus โดยบริษัท SCIeco เรามีบริการในการรับกำจัดของเสียและกากอุตสาหกรรม โดยยกระดับการบริหารจัดของเสียด้วย Circular Economy ที่ช่วยแปรรูปหรือเชื่อมโยงกากอุตสาหกรรมที่ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้ เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการนำมาใช้เป็น Alternative Fuel และ Alternative Material ในโรงงานปูนซีเมนต์ทั้ง 5 แห่งทั่วประเทศ โรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม Maptaput Eco Plant Service โรงงานผลิตวัสดุทนไฟ SRIC และกรีนพาร์ทเนอร์

รวมทั้งร่วมกับบริษัท สยามอุตสาหกรรมวัสดุทนไฟ ศึกษาการนำวัตถุดิบที่เป็นวัสดุรีไซเคิลมาใช้ในการผลิตวัสดุทนไฟอย่างต่อเนื่อง ผ่านการพัฒนาทั้งการศึกษาคุณสมบัติวัตถุดิบ กระบวนการปรับคุณภาพวัสดุรีไซเคิล รวมถึงวางระบบจัดการคุณภาพ ให้สามารถใช้วัตถุดิบที่หลากหลายได้โดยยังคงคุณภาพสินค้าที่ดี จึงใช้งานวัสดุรีไซเคิลได้หลากหลาย อาทิ อิฐทนไฟที่ผ่านการใช้งานแล้ว เศษวัสดุสุขภัณฑ์ ลูกถ้วยไฟฟ้า และโมลด์จากอุตสาหกรรมถุงมือยาง ที่ร่วมศึกษากับศรีตรังโกลฟส์

ปัจจุบันเราCircular Plus สามารถใช้วัสดุรีไซเคิลมาปรับคุณภาพใช้แทนวัตถุดิบในการผลิตวัสดุทนไฟในบางกลุ่มสินค้าได้กว่า 30% และขยายผลต่อเนื่องเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการวัสดุเหลือใช้และกากอุตสาหกรรมโดยมุ่งประโยชน์สูงสุดในเชิงเศรษฐศาสตร์และการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดีของประเทศ

• Green Fuel Management โซลูชันการจัดการของเสียจากเกษตรกรรม ขยะชุมชน และกากอุตสาหกรรม ให้เป็นเชื้อเพลิงสีเขียว ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เปลี่ยน waste จากภาคการเกษตร ชุมชน และอุตสาหกรรมเป็นเชื้อเพลิงทดแทนถ่านหินในโรงงานซีเมนต์ อาทิ Energy Pellet นำวัสดุเหลือใช้จากภาคการเกษตร เช่น ฟางข้าว ใบอ้อย มาเป็นเชื้อเพลิงลดการเผา ลดปัญหา PM 2.5 ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สร้างเครือข่ายเทคโนโลยีการปรับคุณภาพเชื้อเพลิงกระจายตามพื้นที่ต้นแหล่งด้วย Waste To Value Hub ประเทศไทยเป็นเมืองที่มีความสมบูรณ์ในภาคเกษตรกรรม สามารถเพาะปลูกพืชที่หลากหลายในหลายรอบการปลูกในหนึ่งปี วิถีดั้งเดิมในการเตรียมแปลงก่อนเพาะปลูกจะเป็นการกำจัดเศษวัสดุทางการเกษตรที่เหลืออยู่ในไร่ เช่น ใบอ้อย ฟางข้าว เปลือกข้าวโพด และอื่นๆ ด้วยการเผา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาฝุ่นควัน และ PM2.5 และวิกฤตโลกร้อน รวมไปถึงขยะชุมชนส่วนที่ไม่สามารถรีไซเคิลหรือนำกลับไปใช้ใน รูปแบบอื่นๆได้ หรือขยะเก่าในหลุมฝังกลบ



เอสซีจีจึงร่วมมือกับภาครัฐและชุมชน รวบรวมและรับซื้อวัสดุเหลือทิ้งจากภาคเกษตร เพื่อนำมาแปรรูปเป็น “พลังงานชีวมวล (Biomass)” ในรูปแบบเม็ด หรือ Energy Pallet เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทน นอกจากนี้ยังใช้นวัตกรรมเพิ่มมูลค่าด้วยการเพิ่มค่าความร้อนเปลี่ยนเป็นเม็ดพลังงานชีวมวลคุณภาพสูง ”Green Biocoal” หรือ “Green Black Pellet” ในพื้นที่เกษตรกรรม เพื่อลดการเผาและการปล่อย PM2.5 อีกทั้งยังช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันภาคอุตสาหกรรม เช่น โรงงานปูนซีเมนต์ โรงงานอุตสาหกรรม ยังสามารถใช้พลังงานทดแทนจากวัสดุเหลือทิ้งจากภาคการเกษตร ช่วยลดต้นทุนพลังงาน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ต้นเหตุของโลกร้อน และร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนท้องถิ่น รับเชื้อเพลิง RDF ที่ปรับคุณภาพจากขยะชุมชนให้สามารถใช้งานเป็นเชื้อเพลิงได้

ในอีก 5 ปีข้างหน้า เอสซีจีมุ่งลดการเผาได้มากกว่า 350,000 ไร่ ทดแทนการใช้ถ่านหินได้ 200,000 ตัน ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 400,00 TCO2 และสร้างรายได้หมุนเวียนกว่า 500 ล้านบาท มีเป้าหมายในการใช้ขยะชุมชุนเป็นเชื้อเพลิงแข็งทดแทนถ่านหินให้ได้ 300,000 ตัน เทียบเท่ากับการลดคาร์บอนด้วยวิธีการปลูกต้นไม้ 30 ล้านต้น

• โซลูชันการจัดการวัตถุดิบหมุนเวียนและเป็นมิตรต่อส่อสิ่งแวดล้อม (Green Material Management Solution)

วัตถุดิบการผลิตสำหรับภาคอุตสาหกรรมที่ผ่านกระบวนการบริหารจัดการทรัพยากรด้วยแนวคิดทรัพยากรหมุนเวียน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาวัสดุเหลือใช้และวัสดุพลอยได้กลับมาใช้ เช่น หรือวัตถุดิบที่บริหารจัดการโดยไม่มี waste อาทิ Smart Green Mining ที่มีการนำระบบ EV truck , Unman Truck System และ technology ในการจัดการเหมืองแบบ 100% recovery โดยเริ่มต้นจากเหมืองภายในและขยายสู่เครือข่ายภายนอก ด้วยรถบรรทุกหินปูนขนาด 60 ตัน ชนิดไฟฟ้า ที่นำมาใช้ในเหมืองปูนเป็นแห่งแรกของไทย ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดมลพิษและปลอดฝุ่น PM 2.5 นอกจากนี้ยังมีแพลทฟอร์มเพื่อการซื้อขายหินทรายที่ช่วย optimize ทรัพยากรและการขนส่งไปพร้อมกับการสร้างเครือข่ายในการพัฒนาคุณภาพหินทรายเพื่อการก่อสร้างให้มีการควบคุมคุณภาพที่ดีร่วมกับการจัดการสิ่งแวดล้อมผ่านเครือข่าย “Circulo” และช่วยลูกค้าให้สามารถควบคุมคุณภาพและต้นทุนปลายทางได้ดี เช่น นำเสนอวัตถุดิบแก่กลุ่มผู้ผลิตคอนกรีตตามคุณภาพคอนกรีตสูตรต่างๆ เช่น สูตร strength 180, 240 โดยตั้งเป้าสร้างเครือข่ายผู้ซัพพลายให้มากกว่า 39 เหมืองภายในปี 2027

นอกจากนี้ยังมีการนำ PFA ที่มีคุณภาพสามารถใช้งานได้มาใช้เป็นวัตถุดิบทางเลือกในการผลิตซีเมนต์และคอนกรีต และร่วมกับหลายบริษัทชั้นนำศึกษาการเปลี่ยนวัสดุพลอยได้จากการใช้เชื้อเพลิงทางเลือกในการผลิตซีเมนต์มาเป็นวัตถุดิบเพื่ออุตสาหกรรมการเกษตรเป็นสารปรับปรุงดินที่มีค่าโปแตสเซียมคลอไรด์สูง ช่วยปรับปรุงดินที่มีค่า PH ต่ำ และต้องการเร่งผลผลิต

• โซลูชันการจัดการวัสดุทนไฟจากวัสดุหมุนเวียน (Green Refractory Management Solution)

โดย บริษัท สยามอุตสาหกรรมวัสดุทนไฟฯ เป็นผู้ผลิตวัสดุทนไฟชั้นนำของโลกที่ใช้ในอุตสาหกรรมที่มีเตาเผาอุณหภูมิสูง เช่น เหล็ก เซารามิก ซีเมนต์ ยางพารา และ ไฟฟ้า ภายใต้ตราสินค้า SRIC บริษัทใช้ประสบการณ์กว่า 69 ปี ใน High Temperature Technology และ การจัดการคุณภาพจากวัตถุดิบที่หลากหลาย มาสร้างการจัดการทรัพยากรตามหลัก Circular Economy

สำหรับภาคอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนจากการซื้อวัสดุทนไฟ ไปสู่การบริหารจัดการวัสดุทนไฟแบบองค์รวม ตั้งแต่ผลิตสินค้า, ใช้งานสินค้า, และนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและไม่มีของเสียทิ้งเปล่าประโยชน์จากกระบวนการผลิต และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน สร้างความแข็งแกร่งให้ภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของประเทศไทย และพัฒนาวัสุทนไฟแบบ Low carbon โดยการนำเทคโนโลยี Chemical Bonding ทดแทนการใช้ความร้อนสูงในกระบวนการผลิตสินค้า และยังเป็นการช่วยลดการปล่อย CO2 ออกสู่บรรยากาศ ได้มากถึง 80% พร้อมทั้งร่วมกับ Global Start Up “RONDO” และ SCGC ออกแบบการขึ้นรูปวัสดุทนไฟให้กักเก็บไฟฟ้าได้สูงสุดเพื่อเป็นองค์ประกอบสำคัญของ แบตเตอรี่กักเก็บไฟสำหรับ Renewable Energy สำหรับอุตสาหกรรม ที่มีประสิทธิภาพในการใช้งานจริง และเริ่มใชงานจริงในภาคอุตสาหกรรม

เราตั้งเป้าผลิตและจำหน่าย Low carbon brick เป็น 12,000 ตันในปี 2027 นอกจากนี้ ได้ใช้องค์ความรู้ในการพัฒนาและออกแบบการผลิตวัสดุทนไฟสนับสนุน Rondo Heat Battery ใช้พลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนแบบไม่ปล่อยคาร์บอนและมีต้นทุนต่ำ เพื่อให้ความร้อนอย่างสม่ำเสมอแก่วัสดุอิฐทนไฟที่มีความทนทาน ความร้อนที่เก็บไว้จะถูกแปรรูปเป็นลมร้อน ไอน้ำ หรือน้ำร้อน ที่อุณหภูมิที่เลือกได้สูงถึง 1,500°C การชาร์จและการคายประจุเกิดขึ้นพร้อมๆ กันจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนได้ทั้งนอกโครงข่ายไฟฟ้าหรือในโครงข่ายไฟฟ้า ช่วยสนับสนุนการลดคาร์บอนสำหรับกระบวนการและความต้องการพลังงานของภาคอุตสาหกรรม ตลอด 24 ชั่วโมง

ข้อมูลเพิ่มเติม : https://web.cpac.co.th/micro/circular-plus/th/home
Contact: SIRINJ@SCG.COM / +66-82-146-4748



5. EV โซลูชันแพลตฟอร์ม บริการและโซลูชันครบวงจรตอบโจทย์ความต้องการด้านยานยนต์ไฟฟ้า

ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่ให้บริการครบวงจร ภายใต้แนวคิด “Smart Clean Mobility” ให้บริการด้านต่างๆ เพื่อรองรับการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยปี 2022 ตั้งเป้าส่งมอบรถ EV จำนวน 492 คัน พร้อมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 6,400 ตัน และในปี 2023 ตั้งเป้าเพิ่มขึ้นเป็น 9,600 ตันต่อปี ร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการครอบคลุมในด้านต่างๆ

  • EV Fleet Solution ตั้งแต่การทำฟลีท ดีไซน์ (Fleet Design) การจัดหายานยนต์ไฟฟ้าทั้งในรูปแบบ รถที่เข้ามาแบบสำเร็จรูปทั้งคัน (Completely Build Up Unit: CBU) และ การดัดแปลงยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ (EV Localization) รวมถึงประกันภัยและการซ่อมบำรุง (Insurance & maintenance)
  • EV Charging Solution ที่ครอบคลุมทั้งในรูปแบบสแตนด์อโลน (Stand-Alone) และการรวบรวมความต้องการในการชาร์จไฟของยานยนต์ไฟฟ้าในแต่ละประเภท และเชื่อมต่อแต่ละสถานี (Node) เข้าด้วยกัน (Demand Pooling) อันจะส่งผลให้การลงสถานีชาร์จมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  • การเข้าสู่ธุรกิจให้บริการรูปแบบ Mobility As A Service (MaaS) โดยให้บริการทั้งในรูปแบบการเช่า การเช่าพร้อมคนขับ และการให้บริการขนส่งสินค้าและการให้บริการรับส่งพนักงาน

Digital Solution Platform EV Solution Platform ของ SCG ยังมีการศึกษาเพื่อนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ตั้งแต่ การจัดทำแพลตฟอร์มการลงเครือข่ายสถานีชาร์จเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการชาร์จไฟฟ้า (Charging Network Optimization Platform) การจัดทำแพลตฟอร์มเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการรถ (Fleet Optimization Platform) และ การจัดทำแพลตฟอร์มการจัดการสินทรัพย์ (EV Assets Management Platform) เพื่อรักษาอายุการใช้งานและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์ต่างๆ เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ เพื่อช่วยให้การเข้าถึงยานยนต์ไฟฟ้าสะดวกยิ่งขึ้น เอื้อประโยชน์ต่อผู้ใช้งานกลุ่มองค์กรในทุกประเภท โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยผลักดันให้เกิดการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ สอดคล้องกับ นโยบาย ESG ของ SCG และ BCG ของประเทศไทย ซึ่งจะเริ่มจากภายในองค์กรของ SCG ก่อน

ข้อมูลเพิ่มเติม : https://ev.scginternational.com/?lang=th EV
Metaverse: https://spatial.io/s/SCG-EV-632356930f6f210001f91250?share=6517071747221813349&utm_source=%2Fspaces
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: Ms.Juthanoot Chaisuksawad
Email: juthanoc@scg.com
Mobile no.: 089 202 0397



6. นวัตกรรม อะเซทิลีนแบล็ก (Acetylene Black) ในห่วงโซ่ธุรกิจผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า

ผลิตภัณฑ์คาร์บอนแบล็กชนิดพิเศษที่เป็นวัสดุนำไฟฟ้า มีคุณสมบัติที่มีความบริสุทธิ์และการนำไฟฟ้าสูง ส่วนใหญ่จะใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตแบตเตอรีลิเธียมไอออนแบบชาร์จไฟได้สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นหลัก รวมถึงสามารถนำไปใช้เป็นวัสดุสำหรับผลิตสายส่งไฟฟ้าแรงสูง คาดว่าจะมีกำลังการผลิตประมาณ 11,000 ตันต่อปี และโรงงานสามารถเริ่มกระบวนการผลิตได้ภายในต้นปี 2568 นับเป็นการเข้ารุกสู่ธุรกิจ EV Value Chain

SCGC ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับบริษัท Denka Company Limited หรือ Denka ประเทศญี่ปุ่น เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอะเซทิลีนแบล็ก (Acetylene Black) การร่วมทุนนี้จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต สำหรับบริษัท Denka มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งในธุรกิจอะเซทิลีนแบล็ก มีลูกค้าเป็นผู้ผลิตแบตเตอรีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำทั่วโลก

ข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.scgchemicals.com/th/articles/news/1666234103
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : scgchemicals@scg.com



7. นวัตกรรมพลาสติกเพื่อชิ้นส่วนรถยนต์น้ำหนักเบา และวัสดุคอมโพสิต ตอบเทรนด์ยานยนต์ยุคใหม่ ลดการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG)

อุตสาหกรรมยานยนต์เติบโตสู่ทิศทางการประหยัดพลังงานและลดการปล่อยมลภาวะ รวมถึงความนิยมของรถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น จึงเป็นสินค้าที่อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเร่งพัฒนา พลาสติกเป็น วัสดุสำคัญสำหรับชิ้นส่วนรถยนต์ ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่มีน้ำหนักเบา แต่แข็งแรงทนทาน ช่วยประหยัดพลังงานในการขับเคลื่อน นั่นหมายถึงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย

นวัตกรรมพลาสติกเพื่อชิ้นส่วนรถยนต์ที่บางลงและน้ำหนักเบา ตอบเทรนด์อุตสาหกรรมยานยนต์

  • สำหรับการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ใช้งานภายนอกที่บางลงและมีน้ำหนักเบาลง
  • มีความแข็งแรง รับแรงกระแทกได้ดี (high impact) คงรูปได้ดี (high stiffness) ตามมาตรฐานความปลอดภัยของผู้ผลิตรถยนต์
  • ไหลตัวได้ดี ขึ้นรูปชิ้นงานที่มีความละเอียดได้ดียิ่งขึ้น

วัสดุคอมโพสิต (Composite Material) วัสดุเพื่ออนาคต ของการประหยัดพลังงาน

  • น้ำหนักเบา แข็งแรง
  • ทดแทนการใช้โลหะในชิ้นส่วนรถยนต์ได้

ข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.scgchemicals.com/th/products-services/scg-solutions/mobility/automotive-parts
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : scgchemicals@scg.com



8. Imprint Energy แบตเตอรี่และพลังงานทางเลือกด้วยแบตเตอรี่แผ่นบาง โค้งงอได้ รวมถึงน้ำหนักที่เบาลง

ยืดหยุ่นต่อการใช้งาน ผลิตได้ด้วยการพิมพ์ ขนาดและรูปทรงสามารถออกแบบได้ตามความต้องการในการใช้งานที่หลากหลาย ผลิตจากสังกะสี (Zinc) สามารถขนส่งทางอากาศได้ และปลอดภัยกับการใช้งานและสิ่งแวดล้อมมากกว่าเทคโนโลยีที่ใช้อยู่ในวงการแบตเตอรี่ในปัจจุบัน โดยมีการนำไปทดลองใช้ในอุตสาหกรรม เช่น

Imprint Energy

Smart Labels ด้วยเทคโนโลยี Track & Trace Applications ในรูปแบบของ Bluetooth / Cellular label (ฉลากอัจฉริยะที่มีการติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ หน่วยความจำขนาดเล็ก ตัวส่งสัญญาณวิทยุในรูปแบบต่างๆ เช่น บลูทูธ หรือ 4G และอุปกรณ์ทั้งหมดใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แผ่นบาง) ใช้ติดตามอุณหภูมิ ความชื้น และสภาวะต่างๆ ของสินค้าระหว่างขนส่ง หรือติดตามตำแหน่งของสินค้าเมื่อมีการเคลื่อนที่ ที่เข้ามาตอบสนองการใช้งานในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมของระบบ Logistics ระบบการจัดการการส่งสินค้า ข้อมูล และทรัพยากรอย่างอื่น จากจุดต้นทางไปยังจุดบริโภค ตามความต้องการของลูกค้า

Medical Devices ด้วยคุณสมบัติที่ไม่มีสารพิษ (Non-Toxic) จึงตอบโจทย์และสามารถปรับใช้กับอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้เป็นอย่างดี เช่น แถบรัดข้อมือของผู้ป่วย (Patient Wristband) ที่สามารถบอกได้ Realtime ว่าผู้ป่วยมีอุณภูมิร่างการเป็นอย่างไร มีการเคลื่อนไหวหรือไม่ อยู่ในจุดไหนของโรงพยาบาล ใช้เวลารอรับบริการแต่ละจุดนานแค่ไหน เป็นต้น

Ultrathin Consumer Devices เช่น Smart patches and Wearable applications (อุปกรณ์ที่เป็นแผ่นแปะบนร่างกาย และอุปกรณ์สวมใส่ เช่นกำไลข้อมือ สร้อยคอ) โดยอุปกรณ์ IOT เหล่านี้ สามารถทำให้บางลง มีขนาดเล็กลง และสามารถใช้แบบครั้งเดียวแล้วทิ้งได้ เนื่องจากไม่มีข้อจำกัดจากความหนาและรูปร่างของแบตเตอรี่ รวมถึงสามารถออกแบบให้แบตเตอรี่มีพลังงานเหมาะสมกับการใช้งาน เมื่อใช้เสร็จแล้วก็สามารถทิ้งได้ เพราะไม่ระเบิด ไม่เป็นขยะอันตราย ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

ข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.imprintenergy.com/
Contact : https://www.imprintenergy.com/