เจาะลึกแนวคิดทรานสฟอร์มธุรกิจ “เอสซีจี” ยกระดับภาคการผลิตสู่อุตสาหกรรมยุคดิจิทัล

HIGHLIGHTS

  • 3 Smart แนวคิดทรานสฟอร์มองค์กรของเอสซีจี ได้แก่ Smart Maintenance, Smart Laboratory, Smart Dispatching
  • สร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ช่วยให้การยกระดับสู่องค์กรดิจิทัลสำเร็จได้ดีและรวดเร็วขึ้น
  • การทรานสฟอร์มที่ยั่งยืนต้องทำทั้งระดับกระบวนการผลิต ควบคู่กับการเตรียมความพร้อมและพัฒนาทักษะในด้านเทคโนโลยีดิจิทัลให้กับบุคลากร

ยุคดิสรัปท์ชั่น (Disruption) ส่งผลให้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการทำงานเพิ่มมากขึ้น ทำให้หลายธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของตัวเองใหม่ หรือทรานฟอร์มเมชั่นธุรกิจ (Transformation Business) เพื่อผลิตสินค้าและบริการให้ตรงกับโจทย์ของผู้บริโภคมากกว่าเดิม และเติบโตอย่างยั่งยืนในยุค 4.0

เอสซีจีได้ปรับเปลี่ยนองค์กรให้มีความพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจ นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีเครื่องจักร (Mechanization) ระบบอัตโนมัติ (Automation) เทคโนโลยีหุ่นยนต์ (Robotics) ตลอดจนเทคโนโลยีดิจิทัลอื่น มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจในทุกขั้นตอน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า รวมถึงยกระดับกระบวนการผลิตให้เป็นโรงงานอัจฉริยะ และนำไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 ในที่สุด โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 Smart ได้แก่  Smart Maintenance, Smart Laboratory, Smart Dispatching

Smart Maintenance

ระบบแจ้งเตือนการซ่อมบำรุงเครื่องจักรแบบอัจฉริยะ ซึ่งนำเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตในทุกสิ่ง (Internet of Things: IoT) ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence: AI) และเทคโนโลยีหุ่นยนต์ เข้ามาช่วยตรวจสอบประสิทธิภาพและสมรรถนะของเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ในโรงงาน โดยสามารถรู้ถึงสภาพเครื่องจักรได้แบบเรียลไทม์ ทำให้ทีมช่างซ่อมบำรุงวางแผนการดูแลเครื่องจักรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังทำให้เอสซีจีสามารถขยายผลในเชิงธุรกิจไปสู่การให้บริการซ่อมบำรุงรักษาเครื่องจักรแก่ลูกค้าภายนอกได้อีกด้วย

Smart Laboratory

การนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์มาใช้ในห้องปฏิบัติการด้านการตรวจวัด เพื่อช่วยวิเคราะห์คุณภาพของวัตถุดิบและสินค้าในกระบวนการ ทำให้การควบคุมคุณภาพเป็นไปอย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อเทียบกับการใช้คนเพียงอย่างเดียว

Smart Dispatching

การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้า โดยการนำเทคโนโลยีเครื่องจักรด้านระบบขนถ่ายสินค้าอัตโนมัติ (Automatic Loading) มาช่วยจ่ายสินค้าปูนซีเมนต์ให้ลูกค้าแบบอัตโนมัติ ทำให้ลูกค้าได้รับสินค้ารวดเร็วและแม่นยำขึ้น ซึ่งเอสซีจีได้นำเทคโนโลยีนี้มาประยุกต์ใช้กับโรงงานปูนซีเมนต์ทุกแห่ง และยังมีการเชื่อมโยงข้อมูลตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนเห็นข้อมูลที่ถูกต้องแบบเดียวกัน จึงเกิดการบริหารจัดการข้อมูลในทุก ขั้นตอน และสามารถนำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์ให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจ รวมทั้งตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้นอีกด้วย

ทั้งนี้ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ยกระดับกระบวนการทำงานและการผลิต รวมทั้งการเชื่อมโยงข้อมูลตลอดห่วงโซ่อุปทานที่ผ่านมานั้น เอสซีจีไม่ได้ทำเพียงลำพังเฉพาะในองค์กร แต่ยังร่วมกับองค์กรชั้นนำภายนอก เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายดังกล่าวให้สำเร็จได้ดีและรวดเร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการร่วมกับสถาบันการศึกษา อย่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ในการพัฒนาเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรม 4.0 สำหรับเอสซีจี

ขณะที่ภาคเอกชน เอสซีจียังได้ร่วมกับสมาคมฟรอนโฮเฟอร์ (Fraunhofer) ประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญและเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรม 4.0 รวมทั้งร่วมกับไมโครซอฟท์  (Microsoft) ในการนำเทคโนโลยีด้านการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning: ML) เข้ามาใช้ในเอสซีจีด้วย

และล่าสุด เอสซีจีได้ร่วมกับเอไอเอสและมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (..)” เพื่อพัฒนารถยก (Forklift) ต้นแบบที่สามารถควบคุมผ่านระยะไกลบนเครือข่าย 5G ได้โดยที่ผู้ควบคุมไม่ต้องอยู่ที่เดียวกับรถ แต่สามารถควบคุมรถให้เคลื่อนย้ายสิ่งของจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดที่ต้องการได้แบบเรียลไทม์และแม่นยำ ซึ่งหากการพัฒนาดำเนินต่อไป ก็จะช่วยเพิ่มผลิตผล (Productivity) ให้กับภาคธุรกิจอุตสาหกรรม และช่วยลดความเสี่ยงในการทำงานของพนักงานได้ดียิ่งขึ้น


เอสซีจีมีความเชื่อว่าศักยภาพและจุดเด่นของเครือข่าย 5G ทั้งในเรื่องความเร็วและความเสถียรนี้ จะสามารถนำมาใช้กับงานอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงหรือความยากในการเข้าถึงพื้นที่ได้ดี อย่างการทำเหมืองที่มีบางพื้นที่เข้าถึงยาก ก็สามารถนำเทคโนโลยี 5G ที่ใช้ในการควบคุมรถยกต้นแบบมาประยุกต์ใช้กับการบังคับเครื่องจักรกลหนักที่ทำงานอยู่บนเหมืองได้ โดยที่พนักงานไม่จำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่ หรือการซ่อมเตาเผาปูนซีเมนต์ที่มีพื้นที่คับแคบและอับอากาศ เทคโนโลยี 5G ก็สามารถควบคุมรถที่ใช้ในการสกัดและรื้อวัสดุทนไฟในเตาเผาจากระยะไกลได้ รวมถึงการนำเทคโนโลยี 5G มาใช้ร่วมกับเทคโนโลยี IoT เพื่อรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลในกระบวนการผลิตที่มีจำนวนมาก สำหรับใช้ในการวางแผนเครื่องจักรและการบริหารการใช้ทรัพยากร ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในโรงงาน

มากกว่านั้น สิ่งสำคัญที่จะมีประโยชน์ในอนาคตสำหรับหลาย อุตสาหกรรม คือ การนำเทคโนโลยี 5G มาใช้ในการพัฒนาทักษะของพนักงาน โดยเฉพาะการนำมาใช้ร่วมกับเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง (Virtual Reality: VR) ที่ทำให้ผู้เข้าอบรมได้ฝึกทดลองใช้งานอุปกรณ์หรือเครื่องมือต่าง ได้โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางหรือไปอยู่ในพื้นที่หน้างานจริง ทำให้การฝึกอบรมเกิดความรวดเร็ว พนักงานสามารถทำงานใหม่ และเข้าใจได้ในระยะเวลาอันสั้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพบุคลากรที่รองรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ได้อย่างแท้จริง

ทั้งหมดนี้ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างในการทรานสฟอร์มองค์กรของเอสซีจี เพื่อยกระดับกระบวนการผลิตให้เป็นโรงงานอัจฉริยะ ควบคู่กับการเตรียมความพร้อมและพัฒนาทักษะในด้านเทคโนโลยีดิจิทัลให้กับบุคลากร ผ่านความร่วมมือกับองค์กรชั้นนำ เพื่อให้การขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีไปสู่การเป็นอุตสาหกรรม 4.0  ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันท่วงทีต่อไป

บทความนี้มีประโยชน์หรือไม่ ?

Average rating 4.8 / 5. Vote count: 6

No votes so far! Be the first to rate this post.