SCG: Climate Emergency

โลกร้อนไม่ใช่เรื่องไกลตัว!! เปิดใจ ‘ปิ๊น CARNIVAL®’

ตัวพ่อสตรีทแฟชั่น ที่หันมาใส่ใจการใช้ทรัพยากรที่ยั่งยืน

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

 1,278 

หลายคนคงรู้จักผู้ชายคนนี้ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง และร่วมปลุกปั้นร้าน CARNIVAL® จากร้านรองเท้าเล็ก ๆ ในสยาม ที่วางขายรองเท้าเพียงแบรนด์เดียว จนกลายมาเป็นร้าน Multi-Fashion แถวหน้าของเอเชียในปัจจุบัน ที่ไม่เพียงแค่ได้สิทธิ์ขายสินค้ารุ่นเอ็กซ์คลูซีฟจากแบรนด์ระดับโลกมากมาย เพราะกลยุทธ์การสร้างแบรนด์อย่างมีชั้นเชิงนั้นทำให้คอลเลกชันเสื้อผ้าและสินค้าอื่น ๆ ภายใต้แบรนด์ CARNIVAL® เองก็ได้รับความนิยมถล่มทลายไม่แพ้กัน

blank

แต่เชื่อว่าน้อยคนนัก ที่จะได้สัมผัสแง่มุมอีกด้านของตัวพ่อแห่งวงการสตรีทแฟชั่นอย่าง ‘ปิ๊น-อนุพงศ์ คุตติกุล’ หรือ ‘ปิ๊น CARNIVAL®’ ที่หันมาสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะประเด็นของภาวะโลกร้อน ประเด็นที่ทุกวันนี้หลายคนอาจยังมองเป็นเรื่องไกลตัว

และต้องบอกว่านี่เป็นโอกาสดีที่เราได้มาพูดคุยกับผู้ชายคนนี้ จึงพลาดไม่ได้ที่จะให้คุณปิ๊นเล่าย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นแนวคิดการสร้างแบรนด์ CARNIVAL® ให้ผงาดขึ้นมายืนอยู่ในระดับแถวหน้าของวงการ รวมถึงเรื่องราวจุด ‘เปลี่ยน’ ที่ทำให้เขาหันมาตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม ภาวะโลกร้อน จนลุกขึ้นมา ‘เปลี่ยน’ วิธีคิด ‘ปรับ’ รูปแบบการใช้ชีวิตส่วนตัวซึ่งถูกสะท้อนออกมาผ่านกลุ่มผลิตภัณฑ์ Sustainable ของแบรนด์ CARNIVAL® ไปพร้อมกัน

blank

“มันเริ่มต้นมาจากการที่ผมได้ไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษนะครับ คือจากที่เราอยู่เมืองไทยมาตลอดก็มีไปต่างประเทศ มีไปเที่ยวบ้าง ไม่ได้ไปแบบจริงจัง แต่พอได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตที่นั่น เราก็เจออะไรที่มันแปลกใหม่ เหมือนเปิดโลกใหม่ กลายเป็นว่าเราสนใจเรื่องแฟชั่น เรื่องรองเท้า

จริง ๆ รองเท้าเป็นไอเทมที่เด็กผู้ชายวัยรุ่นชอบอยู่แล้ว ใคร ๆ ก็อยากมีรองเท้าหลายคู่ อยากมีรองเท้าเท่ ๆ แต่ตอนเด็ก ๆ เรายังไม่ได้ศึกษา เราไม่รู้หรอกรุ่นไหนเป็นยังไง เราก็แค่ใส่ตามคนอื่น แต่พออยู่อังกฤษ เราได้ไปเจอวัฒนธรรมใหม่ ๆ ไปเจอโลกใหม่ที่แตกต่าง มันมีร้านรองเท้า มีแฟชั่นที่เราไม่เคยเห็น กลายเป็นว่าเราชอบมันมาก เราก็เลยซื้อ ซื้อปุ๊บก็เริ่มศึกษา หันมาสนใจว่ามันมีร้านในต่างประเทศที่เจ๋งอะ เราก็คิดว่าทำไมเมืองไทยไม่มีร้านแบบนั้น

blank

ซึ่งส่วนตัวเรามีหัวเรื่องธุรกิจอยู่แล้ว ชอบซื้อของมาแล้วขายไป เราก็เลยคิดว่าหรือเราจะลองเปิดร้านรองเท้าดู โดยมีคอนเซปต์ว่า เราจะเป็นร้านรองเท้าแบบ Limited ที่มีรุ่นต่าง ๆ ที่หายากจากทั่วโลก เป็นร้าน Sneaker Multi Brand ที่เห็นแล้วว่าเจ๋งอะ รุ่นนี้ไม่สามารถหาได้จาก Shop ทั่วไปอะ ก็เลยชวนเพื่อนที่อังกฤษอีก 2 คนมาเปิดร้าน Carnival ในปี 2010 เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว”

นี่คือจุดเริ่มต้นของบทสนทนาที่พาเราย้อนไปไกลกว่าที่คิด ไม่ใช่แค่วันแรกของการทำร้าน แต่เป็นวันแรกที่ความหลงใหลในแฟชั่นและรองเท้ามันจุดประกายในใจของผู้ชายคนนี้ขึ้นมา หรือพูดได้ว่านี่เป็นเชื้อไฟเล็ก ๆ ที่ต่อยอดไปสู่ต้นกำเนิดของ CARNIVAL®

blank

จากฝันอันสวยงามในการเปิดร้านรองเท้าที่มีแต่ไอเทมเจ๋ง ๆ สู่ความจริงในวันแรกของการเปิดร้านที่เจ้าตัวบอกกับเราว่างานนี้ไม่ได้หมูอย่างที่คิด

“วันแรกก็ไม่ได้สวยหรูเหมือนทุกวันนี้ครับ คือเปิดวันแรกแทบจะขายไม่ได้เลย ไม่มีลูกค้าเลย เพราะเราไม่เคยทำธุรกิจมาก่อน คือเรามองทำเลที่สยามสแควร์ว่ายังไงก็เป็นที่ที่คนต้องซื้อของ ซึ่งจริง ๆ มันไม่ใช่แบบนั้น คือเราไปอยู่ในโลเคชันที่เรามองว่ามันใกล้ร้านกาแฟ ใกล้ที่ที่คนเดินผ่านเยอะ

แต่ความจริงแล้วที่ตรงนั้นมันไม่ใช่ที่ที่คนจะมาเดินช้อปปิ้ง เขาก็แค่เดินไปจอดรถ หรือเดินไปเดินมาแค่นั้นเอง คือมันมี ความยาก ประกอบกับ Product ของเราตอนนั้นมันก็ไม่ได้มีความโดดเด่นขนาดนั้น ก็เลยทำให้ขายยากมาก กลายเป็นว่า Traffic ที่เราหวังจากสยามสแควร์กลายเป็นไม่ได้อะไรเลย เลยต้องลุยการตลาดออนไลน์ เราหวังว่าคนจะเห็นจาก Facebook แล้วเดินมาซื้อที่ร้าน

blank

ซึ่งปรากฏว่ามันเป็น Direction ที่ถูกต้อง เพราะว่าเรากลายเป็น หนึ่งในร้านแรก ๆ ในเมืองไทยที่ทำ Facebook ทำออนไลน์ผ่าน Social Media Marketing จริงจัง เราเริ่มตั้งแต่สมัย Facebook ยังไม่ได้มีหน้าตาแบบนี้เลยครับ ยังไม่มีเพจด้วยซ้ำ มันก็เลยทำให้ฐานลูกค้าเรามาจาก Facebook เยอะมาก กระทั่งปัจจุบันเรามี Follower เกือบ 1 ล้านคน เยอะที่สุดในร้านรองเท้าเมืองไทย เราก็มีฐานลูกค้าจากตรงนั้น ประกอบกับร้านเล็กในสยามขยายร้านใหญ่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มีการขยายสาขาไปตามห้าง ทั้งหมดมันคือการพัฒนาจากตรงนั้น”

blank

หลังจากลองผิดลองถูก ผ่านการแก้ปัญหา ผ่านอุปสรรคมาไม่ใช่น้อย ผู้ชายคนนี้ได้เปิดเผยให้ฟังถึงสิ่งที่เขาภูมิใจ สิ่งที่เปรียบเสมือนสัญญาณที่ส่งให้รู้ว่าที่เขากำลังทำอยู่มันถูกต้อง และถือเป็นพลังสำคัญที่ทำให้เขาและเพื่อน ๆ มีแรงฟันฝ่าพา CARNIVAL® ให้ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน

“จริง ๆ แล้วสัญญาณมันมีมาตลอดครับมีตั้งแต่ปีแรก จนกระทั่งทุกวันนี้มันก็ยังมีเหตุการณ์ที่ตอกย้ำว่ามันใช่ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่เรารับมาขายแล้วมีคนต่อคิวซื้อตั้งแต่วันแรก หรือว่าบางอย่างที่เราทำมาแล้วได้ผลตอบรับที่ดี คนแห่พูดถึงกัน สิ่งที่เราทำมันทำให้เขาชอบ เราก็เลยภูมิใจกับมัน

blank

แต่ว่าเหตุการณ์ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเราทำแล้วเราประทับใจก็คือมีคนมาต่อคิวซื้อของเราหน้าร้านครั้งแรก คือไม่ว่าคุณจะขายอะไรก็ตาม เจ้าของร้านก็อยากจะเห็นภาพที่คนมาต่อคิวเป็นร้อยคนหน้าร้าน มาซื้อของร้านเราอะ อันนี้มันคือภาพที่น่าประทับใจอยู่แล้ว

แล้วมันเกิดตอนที่เราขาย Converse รุ่น MAMAFAKA คือจริง ๆ เราก็คาดหวังอยู่แล้วเวลาที่เราขายของ Limited วันนึงจะต้องมีคนมาต่อคิวหน้าร้านเรา แต่ต้องบอกก่อนว่าสมัยก่อนเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว มันไม่ได้มีภาพคนต่อคิวซื้อรองเท้ากันปกติเหมือนเดี๋ยวนี้นะ เมื่อก่อนมันแทบจะไม่มีเลย เพราะฉะนั้นพอมันเกิดขึ้นแล้ว ร้านเปิดใหม่ที่มีคนต่อคิวหน้าร้าน 200 คน มันเป็นภาพจุดเริ่มต้นที่ตอกย้ำว่าที่เราทำมันถูกต้อง เราประทับใจมาก ๆ”

blank

หากไม่ให้สำคัญความสำคัญเรื่องการสร้างแบรนด์ ชื่อของ CARNIVAL® อาจถูกจดจำในฐานะของร้านรองเท้าที่มีไอเทมหายากให้เลือกเยอะเพียงแค่นั้น แต่นั่นคงไม่เพียงพอต่อการทำให้แบรนด์ CARNIVAL® อยู่ในจุดที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน ซึ่งคุณปิ๊นได้เล่าถึงแรงบันดาลใจในการขยับขยายจาก Retailer สู่การออกคอลเลกชันเสื้อผ้า และไอเทม รวมถึงงาน Collab ต่าง ๆ ภายใต้แบรนด์ของตัวเองให้เราฟังอย่างตั้งใจ

blank

“พอเราทำร้านมาสักระยะหนึ่งแล้ว ก็จะมีลูกค้าที่เขาชอบร้านเรามาก ๆ เขาเป็นแฟนร้านเรา ทีนี้เราเป็นร้านที่ขายรองเท้า Multi Brand อย่างเดียว สิ่งที่ลูกค้าจะได้ก็คือ รองเท้าแบรนด์นั้นแบรนด์นี้ การที่เขาเป็นแฟนของร้านเราแต่ไม่สามารถที่จะเสพผลงานของร้านเราได้ มันก็เลยเกิดความคิดที่ว่า ถ้าเรามีคนชอบร้านเราจำนวนหนึ่งแล้ว เราก็ควรมี Product ที่มันเป็นของเรา เป็นโลโก้ของเรา เป็น Branding ของเรา มันน่าจะตอบโจทย์คนที่ชอบร้านเราได้

คือเราเริ่มสังเกตว่ามีคนเอาถุงของร้านเราไปขายหรืออะไรก็ตามที่มันเป็นโลโก้ของร้านเรา แล้วเรารู้สึกว่า เฮ้ย คนเขาอยากได้ว่ะ บางคนไปคอมเมนต์ว่าถุงนี่มันธรรมดามากเลยนะแต่ว่ามันมีโลโก้ CARNIVAL® เขาก็เลยอยากได้ มันก็เลยตอกย้ำว่าโลโก้เรามันก็อยู่ในใจลูกค้าอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าเรามี Product ของเราเอง เราก็น่าจะขายได้ ประกอบกับเราก็มองว่าการทำ Product ของเราเอง มันจะช่วยเสริม Branding เพราะเราเน้นการสร้างแบรนด์เป็นหลัก

blank

ร้านเราไม่ได้เน้นการขายของมาที่หนึ่ง แต่เราเน้นการสร้างแบรนด์มาที่หนึ่ง ทีนี้พอมันไปด้วยกัน มันทำให้ Loyalty ของลูกค้าแข็งแรงขึ้น ต่อไปนี้ถ้าเราขายสินค้าอะไร เราก็จะขายง่ายขึ้น เพราะฉะนั้นการสร้างแบรนด์จากเรื่องเล็ก ๆ ก่อน อย่างพวกเสื้อผ้า กระเป๋า พอเรามองว่ามันมีศักยภาพมากพอเราก็อาจจะทำแบรนด์ CARNIVAL® ให้เป็นแบรนด์แฟชั่นแบรนด์นึงเลย อนาคตมันอาจจะออกไปตั้งเป็น Flagship ร้านนึงได้เลย เรามองเป้าหมายแบบนั้น มันก็เลยผ่านการสร้างแบรนด์มาเรื่อย ๆ จนถึงทุกวันนี้”

blank

สำหรับสาวก CARNIVAL® ที่ติดตามความเคลื่อนไหวของแบรนด์มาโดยตลอด คงสังเกตได้ว่าตอนนี้แบรนด์ CARNIVAL® เป็นอีกเสียงที่แสดงออกถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน ทั้งการออกคอลเลกชัน GREEN LABEL และจัดหมวดหมู่สินค้า Sustainable ไว้ในเว็บสโตร์ของตัวเองโดยเฉพาะ

ซึ่งจุดเปลี่ยนในการหันมาโฟกัสประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากจะเกี่ยวข้องกับข้อมูลรอบตัว ข่าวสารที่ผู้ชายคนนี้ได้ติดตามได้รับรู้ผ่านสื่อต่าง ๆ มันยังมีเรื่องราวของผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่มีต่อกีฬาฟุตบอลที่เขารัก ที่เรียกได้ว่ากระทบจิตใจจนต้องหันมาหาข้อมูลเพิ่มเติม และหาทางออกในการช่วยแบ่งเบาปัญหานี้เท่าที่ตัวเองพอจะมีศักยภาพทำได้

blank

“ส่วนตัวผมเป็นคนที่ติดตามเรื่องนี้พอสมควร มันไม่ใช่วันนึงตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าเราต้อง Concern เรื่องสิ่งแวดล้อมนะ แต่มันผ่านการซึมซับมาตั้งแต่สมัยที่เราเรียนที่อังกฤษ คือเราเป็นคนชอบฟุตบอล เราก็ไปดูฟุตบอลที่สนาม ทีนี้ BBC มันมีข่าวที่เปิดเผยผลการวิจัยว่าเออ ภายในปี 2050 เค้าคาดว่าเกือบหนึ่งในสี่ของสนามฟุตบอลของสโมสรในอังกฤษจะต้องถูกน้ำท่วมทุกปี

เราก็เลยรู้สึกไม่ดีว่าทำไมมันต้องน้ำท่วม มันเกิดจากอะไร พอไปอ่านข้อมูลเราก็รู้ว่าโลกของเรามันเปลี่ยนไปทุก ๆ ปี น้ำแข็งละลาย เกิดภาวะโลกร้อน เกิดจากขยะ เราก็ซึมซับมันมาเรื่อย ๆ แล้วกลับมาดูว่าชีวิตเรามันมีอะไรบ้างที่สร้างความเสียหายกับสิ่งแวดล้อม จนกระทั่งมันมา Relate กับเสื้อผ้า

เพราะส่วนตัวผมเป็นคนมีเสื้อผ้าเยอะมาก เปิดตู้มามี 600 กว่าตัว ขายบ้าง ไม่มีเวลาขายบ้าง จนกระทั่งผมไปได้ยินข่าวเทคโนโลยีตัวนึงขึ้นมา ผมไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นได้ในยุคของเรากับการเอาของที่เราไม่ได้ใช้มาย่อยสลาย แล้วปั้นมันออกมาเป็นเสื้อลายใหม่ได้เลย มันเป็นเทคโนโลยีที่ผมมองว่าเป็นเรื่องของอนาคต แต่ว่ามันทำได้แล้วในยุคเรา ฉะนั้น ทำไมเราถึงไม่ทำ

blank

ผมมองว่าผมเองมีของที่ผมไม่ได้ใช้แล้ว แล้วเราก็ซื้อของใหม่อยู่ตลอด ผมมีเสื้อยืด 600 ตัว แต่ผมก็ยังซื้อลายใหม่อยู่เรื่อย ๆ แล้วลายเก่า ๆ ที่ผมมีอยู่ ผมจะทำยังไง ถ้าอนาคตผมโยนมันลงไปในเครื่องแล้วเปลี่ยนมันเป็นตัวใหม่ได้ มันก็จะลดปริมาณการใช้ผ้า ลดปริมาณการใช้น้ำที่จะต้องมาย้อมผ้า ลดปริมาณของ Cotton ที่ต้องมาทำใหม่ มันก็เลยเกิดเป็นโปรเจกต์ CARNIVAL® GREEN LABEL ขึ้นมา

แล้วในวงการแฟชั่นตอนนี้ผมถือว่าประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมมันเป็นปรากฏการณ์นะ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ Street Fashion, Luxury Brand แทบจะ 60-70% มีสินค้าที่เป็นไลน์ผลิตแบบ Sustainable ออกมาแล้ว เพราะทุกคนมองว่าแฟชั่นเป็นอุตสาหกรรมที่ทำลายโลก ถ้าเกิดแฟชั่นมีส่วนที่จะช่วยตรงนี้ได้บ้าง ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี”

blank

“GREEN LABEL มันเป็นไลน์สินค้าใหม่ที่ผมทำขึ้นมาเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นการเอาของเก่ากลับมาใช้ใหม่ เราก็เลยตั้งหัวข้อ Sustainable ขึ้นมา เพื่อมองว่ามีสินค้าอะไรที่เราจะขายในเว็บไซต์ได้บ้าง ไม่ใช่แค่แบรนด์ CARNIVAL® GREEN LABEL อย่างเดียวนะครับ ก็จะมีแบรนด์อื่น ๆ ที่เป็นสินค้าที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม อย่างเช่น Nike, adidas เขาก็จะมีไลน์สินค้าที่เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เราก็เลยเอามันมานำเสนอด้วยกัน

blank

โดยเบื้องต้นจะมีสินค้าที่เป็นเสื้อกับกระเป๋าก่อน เราสามารถพูดได้ว่าสินค้า GREEN LABEL มันได้มาจากเสื้อยืด 5 ตัวที่ไม่ได้ใช้แล้วกับขวดพลาสติก 3 ใบ เรามองภาพได้ว่า โอเค เสื้อนี้มันไม่ได้เกิดจากการผลิตของใหม่ขึ้นมานะ มันเกิดจากการเอาของเก่ามาย่อยสลาย มันเป็นวัตถุดิบที่เราดีลกับ Supplier แล้วออกมาเป็นตัวนี้ได้

blank

หรือกระเป๋าเองก็ตาม กระเป๋า Tote Bag เกิดจากการเอาเศษผ้าที่เหลือจากไลน์การผลิต ที่ไม่สามารถเอาไปตัดเป็นผ้าผืนใหญ่ได้ เอามาย่อยเป็นเศษวัสดุแล้วทอขึ้นมาเป็นผืนใหม่ เพราะฉะนั้นเนี่ย มันก็จะ Waste เป็นศูนย์เลย เท่ากับว่าเศษ ๆ ที่เหลือมันกลับมาออกมาเป็นกระเป๋าใบใหม่ได้ จากที่เมื่อก่อนไม่สามารถทำได้”

คุณปิ๊นได้อธิบายเพิ่มเติมถึงโปรเจกต์ GREEN LABEL ให้ฟังอย่างน่าสนใจ และน่าทึ่งที่เทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถทำให้เรื่องของแฟชั่น และการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่านั้นกลายเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างลงตัว

blank

นอกจากภาพใหญ่อย่างการออกไลน์สินค้ารักษ์โลกภายใต้แบรนด์ CARNIVAL® โดยส่วนตัวของผู้ชายคนนี้เองก็ได้มีการเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาแล้วเป็นเวลานานพอสมควร ซึ่งไม่ว่าจะเป็นมุมมองของแบรนด์ หรือมุมมองการใช้ชีวิตส่วนตัว คุณปิ๊นเชื่อว่าการสร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง คือความท้าทายในการที่จะทำให้คนส่วนใหญ่หันมาใส่ใจการเปลี่ยนเพื่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นทั้งจำนวน และประสิทธิภาพ

blank

“ผมยังจำได้เลยว่ารัฐบาลประกาศห้ามใช้ถุงพลาสติก วันนั้นผมเข้าไปอ่านข่าวเต็มไปหมด คนก็ยังพูดว่าทำไมร้านจะต้องให้เลิกใช้ถุงพลาสติก ทำไมบริษัทรวยมากแต่ต้องมาเลิกใช้ถุงพลาสติก คือคนคิดในแง่ว่าคนอยากจะประหยัดเงิน แต่จริง ๆ ถุงพลาสติกที่เขาแจกมันเป็นเงินไม่เท่าไรหรอก เขาอยากจะแจกด้วยซ้ำ

ผมก็เลยมองว่าการทำความเข้าใจของคนไทยหรือสังคมโลกก็ตาม มันมีความสำคัญที่ทำให้เขารับรู้และเข้าใจว่า เออ ความสะดวกกับการต้องช่วยโลก บางทีมันต้องยอมนะ คือคุณเข้าไปซื้อของเยอะมาก ๆ เลยแต่คุณไม่มีถุง คราวหน้าคุณก็ต้องเตรียมตัวนะกับการที่คุณจะไปร้านสะดวกซื้อคุณต้องมีถุงผ้าหรือถุงพลาสติกที่เคยใช้แล้วพกติดตัวนำกลับมาใช้ใหม่ พอมันเริ่มผ่านมาสักระยะนึงคนก็จะเริ่มเคยชิน เขาจะรู้สึกว่าเขาต้องมีติดตัวหรือร้านจะไม่มีให้นะ มันก็จะค่อยเป็นค่อยไป ทุกคนก็จะต้องช่วยกัน

blank

พอสร้างการรับรู้แล้วเราก็ยังอยู่ในเรื่องของการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องอีก อย่างพลาสติกถ้าเราศึกษามาจริง ๆ เราจะรู้ว่า มันใช้ทดแทนวัสดุประเภทอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะแข็งแรง ทนทาน น้ำหนักเบา ใช้ทรัพยากรในการผลิตน้อยกว่า และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าวัสดุประเภทอื่น ๆ ในปริมาณที่เท่ากัน

ผมจึงพยายามบอกคนอื่นเสมอว่า เราสามารถใช้พลาสติกในชีวิตประจำวันได้ เพียงแต่ต้องรู้จักใช้ให้คุ้ม หรือคิดว่าจะสามารถนำมันกลับมาใช้ใหม่ยังไง Reuse ได้ยังไง หรือแยกทิ้งยังไง

รวมถึงการที่เรามีถุงผ้าของตัวเองก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะใช้ถุงผ้าครั้งเดียวแล้วหาใหม่เพราะเขาบอกว่าคนเลี่ยงการใช้ถุงพลาสติกก็เลยมาใช้ถุงผ้า แล้วกลายเป็นว่าตอนนี้ถุงผ้ามันล้นโลก บ้านนึงมีถุงผ้า 20-30 ใบ กลายเป็นว่ามันก็ไม่มีประโยชน์ มันก็กลายเป็นสร้างคาร์บอนให้กับโลกเหมือนกัน

blank

และจากเรื่องการ Reuse นำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ให้มันคุ้มค่าเนี่ย มันส่งผลมาถึงตอนที่ผมทำบ้าน ก็พยายามหาทางที่มันส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด จนสุดท้ายมาลงเอยที่การเลือกใช้วัสดุซึ่งเรามองว่ามันช่วยเรื่องของสิ่งแวดล้อม อย่างเช่นของ SCG ที่มี SCG Green Choice ซึ่งเป็นเหมือนฉลากที่ให้การรับรองพวกวัสดุต่าง ๆ ที่สามารถช่วยโลกประหยัดพลังงาน ลดโลกร้อน รวมถึงเป็นวัสดุที่ทำให้เราอยู่อาศัยในบ้านได้ด้วย สุขอนามัยที่ดี ล่าสุดตอนนี้ก็กำลังสนใจหาข้อมูลเรื่องการติดโซลาร์เซลล์ที่บ้านอยู่เหมือนกัน

คือโซลาร์เซลล์จริง ๆ ไม่ได้มองว่ามันช่วยในการลดค่าไฟอย่างเดียว ผมว่ามันเป็นพลังงานสะอาด มันอาจจะไม่ได้มีส่วนในการลดค่าไฟมากมาย แต่เรามองว่าอย่างน้อยเราใช้ ประโยชน์แสงอาทิตย์ในตอนกลางวันมาเป็นพลังงานในบ้าน เราสามารถเปิดแอร์ได้จากพลังงานสะอาดที่มาจากแสงอาทิตย์เองเลย

ส่วนในพาร์ตของแบรนด์ CARNIVAL® เองเราก็จะพยาพยามที่จะสร้าง Perception อยู่ตลอด เราก็จะมี Process ในการ Educate ลูกค้าทุกอัน เราไม่ได้โผล่มาปุ๊บแล้วขายของเลย เรามีการทำคอนเทนต์ก่อนเพื่ออธิบายที่มาที่ไปของแบรนด์ที่เราจะไปทำ Collab ด้วย หรือ Collection ที่เราจะออก ดีไซเนอร์ที่เราไปร่วมงานด้วย เราก็จะมีการปูมาก่อนว่า ก่อนที่เราจะไปขายเราก็จะปูทางมาก่อน

อย่างของ GREEN LABEL ก็เหมือนกัน เราก็จะมีการแนะนำว่าโรงงานเขาทำยังไง มันมีกระบวนการผลิตยังไง ทำไมเราถึงต้องไปทำกับเขา แล้วก็ไปถ่ายโรงงานให้ดูว่ามันมี Process แบบนี้ เราก็ค่อย ๆ ปูเรื่องมาเรื่อย ๆ ส่วนที่หน้าร้านเราก็จะมีการจัด Display เป็นเศษวัสดุที่เราเอามาผลิตจริง ๆ ว่ามันทำมาจากอะไร คนก็จะได้เข้าใจว่าสิ่งที่ทำอยู่มันช่วยโลกยังไง และยังสามารถไปต่อยอดไปใช้กับวิถีชีวิตของตัวเองได้ด้วย”

blank

ก่อนจาก ในฐานะของผู้ผ่านประสบการณ์เปลี่ยนมาใส่ใจปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลกใบนี้ด้วยตัวเอง เราจึงขอให้คุณปิ๊น ทิ้งท้ายเชิญชวนชาว UNLOCKMEN รวมถึงบรรดาแฟน ๆ ของแบรนด์ CARNIVAL® ว่าจะหันมาเปลี่ยนเพื่อโลกได้อย่างไรบ้าง

blank

“ทุกวันนี้ไม่ว่าจะแบรนด์แฟชั่น รวมถึงคนทั่วไปเอง ทุกคนก็ช่วยกันทำยังไงถึงจะช่วยตรงนี้ได้บ้าง เพราะว่าโลกเรามันก็ถึงขั้นวิกฤตที่หลาย ๆ อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมันก็เกิดขึ้นมาแล้ว เราก็อยากจะฝากทุกคนว่าอะไรก็ตามที่มันช่วยสนับสนุนเรื่องสิ่งแวดล้อมได้ เราก็อยากจะให้ทุก ๆ คนช่วยกัน

จริง ๆ เรามองว่าการเริ่มเปลี่ยนมาใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องโลกร้อนมันไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้น แต่ติดตรงที่หลายคนอาจยังรู้สึกว่ามันไกลตัว อาจไม่ได้อินกับมันเท่าไหร่ แต่ถ้าลองมีโอกาสศึกษาข้อมูลจริง ๆ จะรู้ว่าปัญหา Climate Emergency มันกระทบแทบทุกมิติการใช้ชีวิตของเราทุกคน

เหมือนที่เล่าไปตอนต้นว่าจุดที่มันกระทบใจเรา คือข้อมูลที่เจอว่าบอลอังกฤษมันอาจจะเตะลำบากขึ้นเพราะเจอปัญหาสนามน้ำท่วมทุกปี ซึ่งเอาจริง ๆ มันคือเรื่องเล็กมาก ๆ สำหรับคนที่ไม่ดูบอล คนที่ไม่ได้ผูกพันกับบอลอังกฤษคงไม่มีทางอินแน่นอน แต่มันดันเป็นเรื่องที่ Impact กับเรา หรือจะบอกว่ามันกระทบกับโลกใบที่เราแคร์อย่างนั้นก็ได้

ดังนั้นไม่ว่าคุณจะมีโลกใบไหน จะอินกับอะไรอยู่ก็ตาม ยังไงก็อยากให้ลองมาช่วยกันเปลี่ยน คนละเล็กละน้อย คนละไม้คนละมือ แม้มันอาจไม่ได้แก้ปัญหาให้กับโลกทั้งใบได้ในวันสองวัน แต่อย่างน้อยก็เพื่อให้โลกซึ่งเป็นความชอบ โลกที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่พวกคุณสนใจดีขึ้นได้ เท่านั้นเราว่ามันก็โอเคแล้ว”

#SCG # เปลี่ยนเพื่อโลกที่คุณแคร์ #ClimateEmergency #CARNIVAL #UNLOCKMEN
มาร่วมเปลี่ยนเพื่อโลกที่คุณแคร์ได้ที่ https://bit.ly/34HN35Q

ขอบคุณบทความจาก Unlockmen

Most Popular

You might also like